ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

แนวรับแนวต้าน ตอนที่ 2

ตอนที่สองนี้ ผมขอกล่าวถึงวิธีหาแนวรับ แนวต้านที่นิยมใช้ สองวิธีหลักๆคือการใช้ Fibonacci และการใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ สองวิธีนี้เป็นวิธีการที่ใช้เครื่องมือคณิตศาสตร์มาช่วยทำให้เรามองแนวรับแนวต้านบนแนวโน้มใหญ่ได้ง่าย การหาแนวรับแนวต้าน วิธีการหาแนวรับ-แนวต้านของราคาหุ้น เราสามารถหาได้หลายวิธีขึ้นกับเทคนิคที่ผู้วิเคราะห์จะเลือกใช้ เช่นการใช้ Fibonacci, การใช้ค่าเฉลี่ยแบบหลายช่วงเวลา , การใช้เทคนิค Pnt ,การใช้ trend line ย่อยก่อนหน้า และอื่นๆ ผมขอให้แนวคิดไว้ว่า แนวรับแนวต้านนั้นเป็นเพียงจุดสังเกตที่ทำให้นักลงทุนทราบถึงสถานการณ์และการเคลื่อนตัวของราคาตามแนวโน้มเปรียบดั่ง เสาหลักกิโลเมตร ทีเอาไว้ให้เราบอกตำแหน่งบนเส้นทาง ( บนแนวโน้ม ) ดังนั้นผมขอยกตัวอย่างภาพการหาแนวรับแนวต้าน คราวๆดังนี้ครับ 1. การใช้ Fibonacci retracement คือวิธีการใช้สัดส่วนของ Fibonacci มาเป็นตัวกำหนดแนวรับ แนวต้านเพื่อใช้เป็นเส้นสังเกต หลักการใช้งานก็คือการลากจากจุดสูงสุดไปต่ำสุด หรือลากจากต่ำสุดมายังสูงสุดของแนวโน้มก่อนหน้า แล้วแต่แนวโน้มขาขึ้นหรือลง เพื่อนำเอา % มาใช้เป็นตัวกำหนดแนวรับหรือแนวต้าน ในแนวโน้มที่เกิดขึ...

แนวรับแนวต้าน ตอนที่ 1

แนวรับและแนวต้าน เปรียบดังแนวของเส้น ณ ตำแหน่งราคาใดๆ ที่ใช้เป็นแนวสังเกตสำหรับการเคลื่อนที่ของราคาผ่านแนวนั้นๆ ด้วยเนื่องจากการหยุด การทะลุผ่าน หรือการไหลตกลงของราคา ณ ที่แนวสังเกตนี้ล้วนมีนัยยะ สำหรับการนำมาใช้งานในรอบต่อไป การทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวรับแนวต้าน จึ้งเป็นเรื่องจำเป็นควบคู่ไปกับการวิเคราะห์แนวโน้มของราคาหุ้น แนวรับ  แนวรับ(Support) คือแนวที่มีแรงซื้อมารับราคาหุ้นไว้ไม่ให้ตกลงไปมากกว่านี้หรือสามารถชะลอการร่วงลงของราคาได้ ในขณะเวลาหนึ่ง โดยทั่วไปแนวรับจะมีลักษณะเหมือนแนวที่เป็นจุดสังเกตการเคลื่อนที่ลงของราคาในแนวโน้มขาลง (Down Trend) แนวรับจะมีได้มากกว่า 1 แนวและสามารถนำแนวรับในอดีตที่มีนัยยะมาใช้ในการสังเกตในปัจจุบันได้ โดยบ่อยครั้งที่แนวรับสำคัญจะเกิดจากการที่ราคาหุ้นในทิศทางลงหลายรอบ มาหยุดลง ณ ที่แนวรับนั้น จากภาพ S0 S1 S2 และ S3 คือแนวรับ บนแนวโน้มของลงที่เมื่อราคาหุ้นวิ่งเข้าหาแล้ว มีการชะลอหรือเด้งกลับระยะสั้นๆ โดยแนวรับที่มีความแข็งแรงจะสามารถหยุดราคาหุ้นในขาลงได้นาน แนวต้าน แนวต้าน(Resistance) คือแนวที่มีแรงขายมาต้านราคาหุ้นไว้ไม่ให้ขึ้นสูงไปมากกว่านี้หรือสาม...

การวิเคราะห์แนวโน้มราคา 2

หลังจากเลือกตั้งเสร็จ สัญญาณตอบรับจากตลาดก็ดีมาก จนลากพาดัชนียาวมาเกือบลุ้น 1100 จุด แต่ถึงยังไงก็ไม่ควรประมาทครับ เพราะเราไม่มีทางรู้ได้ว่าแนวโน้มระยะสั้นจะจบเมื่อใด วันนี้มาหัดเรียนรู้เรื่องการวิเคราะห์แนวโน้มของราคาหุ้นกันต่อดีกว่าครับ เอาไว้เป็นเกาะป้องกันตัวจากความไม่แน่นอนของตลาด ขนาดของแนวโน้ม จริงแล้วการมองแนวโน้มหรือการมองกราฟราคาหุ้นสามารถมองได้หลายกรอบเวลา (Time Frame, TF) ซึ่งล้วนแต่ มีขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์หรือกลยุทธการลงทุนที่แตกต่างกันไป การเก็งกำไรหรือการล่าส่วนต่างของราคาไม่จำเป็นต้องเล่นสั้นแบบที่หลายคนเข้าใจเสมอไป แนวโน้มเป็นตัวบ่งชีสำคัญที่ใช้ได้ทั้งในรูปแบบ day trade ที่ใช้ TF ระดับนาที ,week trade นักเก็งกำไรแบบรายสัปดาห์กลาง หรือ month trade ที่ดูกันในระดับเดือนแบบเก็งกำไร EPS รายไตรมาสก็มี เพราะหัวใจสำคัญคือ เมื่อรู้แนวโน้มทำให้รู้จังหวะของคลื่น รู้จังหวะราคาที่ควรซื้อ ดังนั้นมันย่อมได้ราคาหุ้นที่ดีกว่าเดินดุ่มๆลุยไปซื้อ ในวันที่ตลาดทำ New High เป็นไหนๆใช่ไหมครับ ? ดังนั้นผมของแบ่งกลุ่มของแนวโน้มตามขนาดของกรอบเวลาหรือ Time Frame คราวๆดังนี้ 1. แนวโน้มใหญ่ คือ เส้...

การวิเคราะห์แนวโน้มราคา 1

กราฟเป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์ราคาและปริมาณของหุ้น เพื่อทำนายราคาที่น่าจะเป็นในอนาคต โดยทำการพอร์ตราคาหุ้นในรูปแบบกราฟแท่งเทียนหรือกราฟเส้นตามช่วงเวลา สำหรับศึกษารูปแบบแนวโน้มของราคาในอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อใช้ในการอนุมานหรือทำนายแนวโน้มหรือราคาที่น่าจะเป็นในอนาคต ซึ่งจะสามารถใช้ในการกำหนดจังหวะเวลาในการลงทุน หรือกำหนดกรอบการประเมินความเสี่ยงของการลงทุนได้ ดังนั้นการที่นักลงทุน มีความเข้าใจในกราฟเทคนิค ย่อมจะทำให้ทราบถึงพัฒนาการ การเคลื่อนที่ของราคาหุ้น จากการอ่านแนวโน้มของราคา ซึ่งจะทำให้ลดความเสี่ยงในการลงทุนได้เป็นอย่างมาก  ประเภทของแนวโน้ม แนวโน้มคือรูปแบบของราคาหุ้นที่เปลี่ยนแปลงแบบเคลื่อนที่จากช่วงเวลาหนึ่ง (t 0 ) ไปอีกช่วงเวลาหนึ่ง (t1) การเคลื่อนที่ของราคาหุ้นที่ปรากฏบนกราฟ จะอยู่ในลักษณะแบบคลื่น คือมีการแกว่งตัว ไม่ได้มีทิศทางการเคลื่อนที่ขึ้นหรือลงเป็นเส้นตรง สาเหตุมาจากการที่มีปัจจัยอื่นๆของผู้เล่นกลุ่มต่างๆเข้ามามีอิทธิพลต่อการเคลื่อนที่ของราคาหุ้น ก่อให้เกิดความผันผวนซ่อนอยู่ในการเคลื่อนที่ดังภาพ โดยสามารถแบ่งแนวโน้มออกได้เป็นดังนี้ 1. แนวโน้...

ไม่มีทางลัดสำหรับอิสรภาพ!!!!

ช่วงนี้คำว่า Freedom เป็นกระแสที่กำลังฮิตจริงๆหลายคนอยาก สัมผัสกับอิสระอยากหลุดออกจากรอบเดิม แบบที่ต้องตื่นเช้า ลากสังขารไปทำงานหนักที่ตนเองไม่ได้รัก เจอสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย การแข่งขันการเอาเปรียบและการต้องเผชิญต่อแรงกดดันจากเจ้านาย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนพันธนาการเราไว้ด้วยคำว่า "เงินเดือน" ดังนั้นการจะหลุดกรอบนี้ได้ต้องตัดล็อคแม่กุญแจอันโตออก หรืออีกนัยหนึ่งคือการอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งเงินเดือนจากงานประจำ จึงเป็นที่มาของคำว่า อิสรภาพทางการเงิน  อิสระมีจริงหรือ  หลายคนมองพาหนะที่จะพาตัวเองหลุดจากกรอบเดิมไปสู่อิสรภาพทางการเงินด้วยการเข้ามาสู่ตลาดหุ้น เข้ามาสู่สังเวียนการลงทุน แน่นอนว่าแรงบันดาลใจแรกเริ่มของทุกคน(รวมถึงผมด้วย) ย่อมมาจากเจ้าวลีที่ว่า “อิสรภาพทางการเงิน” หรืออีกคำที่คลาสสิกไม่แพ้กันคือ “ให้เงินทำงานแทนเรา” ฟังสองคำนี้แล้วแทบซึ้งเพราะมันโดนใจจี๊ดขึ้นมาทันที ผมจำได้ว่าหลายปีที่แล้ว วันแรกที่เข้ามาสู่ตลาดหุ้นมันก็คล้ายกับเด็กบ้านนอกเข้ากรุงหรือพจมานถือ ชลอมกำลังจะก้าวเข้าสู่บ้านทรายทอง อะไรที่พบที่สัมผัสล้วนดูแปลกตา ผมมีคำถามมากมายที่เฝ้าถามไถ่คนที่เดินผ่านไปมา สวนทา...

ลงทุนให้เหมาะกับอาชีพ

วิชาชีพ คำนี้คือคำสองได้แก่  “ วิชา ” + ” อาชีพ ” คำที่มาเจอกันและผสมกัน มีความหมายแบบสามัญว่า มันคือวิชาที่เราใช้หาเลี้ยงชีพ ทั้งชีพของเราและชีพของครอบครัว เป็นวิชาที่ผสมกับหยาดเหงื่อแรงงาน บวกเวลาอันมีค่า เพื่อนำไปแลกกับเงิน มาใช้ในการดำรงชีวิตในสังคม ทุกคนที่ทำงานแลกเงิน ล้วนแล้วต้องมีวิชาชีพ ไม่ว่าจะจบมหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษาใดๆหรือไม่จบ เพราะทุกคนที่มีอาชีพล้วนผ่านการเรียนรู้ทักษะที่ใช้ในการประกอบอาชีพ ทั้งจากการเรียนในห้องเรียนและเรียนโดยตรงจากการปฏิบัติงาน ซึ่งยิ่งมีชั่วโมงบินสูงๆมีอายุการทำงานสูงๆวิชาชีพท่านยิ่งกล้าแข็ง เก่งกล้า ทำงานแลกเงิน แต่แน่นอนว่า การนำวิชาชีพไปแลกเงินเดือนที่ดูเหมือนจะน้อยนิดเมื่อเทียบกับต้นทุนทางสังคมที่ต้องจ่าย ทั้งค่าเสื้อผ้า ค่ารถ ค่าคอนโด รวมถึงโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ มันทำให้การมองเห็นอนาคตอันสดใสริบหรี่เต็มที่ ยิ่งพยายามเอาเวลาที่มีค่าไปแลกเงินมามากเท่าใด ความสุขในชีวิตก็ยิ่งลดลง ดังนั้นจะดีแค่ไหนที่เราสามารถเอาวิชาชีพที่ร่ำเรียนมา หรือมีความชำนาญ ไปใช้ในการสร้างผลตอบแทนทางการเงินด้วยการลงทุนในตลาดหุ้น มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่า อาชีพที...

volume analysis

ด้วยอานิสงค์การลากดัชนี ด้วยเม็ดเงินมหาศาลจากฝรั่ง(ไม่รู้หัวดำ หัวทอง) ที่พาปู่ SET มาไกลทะลุ 1100 ทำเอาพอร์ตเล็กพอร์ตใหญ่เขียวไปตามๆกัน ใครที่มี Bigcap ก็ยิ้มออกหน่อย แต่ถ้านิยมสะสมหุ้นเล็กตามกระแส ก็อาจจะยิ้มไม่กว้างนัก แต่เอาน่ายังไงก็ยังยิ้มได้ หลายคนดีใจเพราะใกล้ลงดอย บางคนก็ผลตอบแทนของพอร์ตทำ new high แน่นอนว่ามีคนดีใจก็ย่อมมีคนเสียใจ อกหักจากการตกรถ เพราะล้างพอร์ตรอกะว่าให้ set หลุด 1000 แล้วไปรับแถว 920 คนกลุ่มนี้ก็อย่าคิดมากครับ วันพระไม่ได้มีหนเดียว โอกาสหน้ายังมี ขอให้เรียนรู้เป็นบทเรียน สิ่งหนึ่งที่จงตระหนักเถอะว่าราคาหุ้น มันคือเรื่องของอนาคต เราไม่สามารถเดาอนาคตได้ทางที่ดีคือหมั่นสังเกต และติดตามราคาอย่างใกล้ชิด เฝ้ารอพิจารณาหุ้นรายตัวที่มีการย่อพักฐานมาทดสอบแนวต้าน แล้วค่อยลงทุน ดีกว่าไปไล่หุ้นที่ปลายดอย ความเสี่ยงจะสูงกว่าครับ คุณภาพของแนวโน้ม ที่สำคัญเวลาเรามองกราฟราคา สิ่งที่ต้องมองให้ออก หรือตีให้แตก(ยืม ดร.นิเวศมาใช้หน่อยนะครับ) สำหรับการเก็งกำไรระยะสั้น ไม่ใช้แค่ตัวเลขราคา แต่สิ่งสำคัญนั้นคือ แนวโน้ม แนวโน้มหรือ Trend คือรูปแบบทิศทางการเคลื่อนตัวของราคาหุ้น ณ ก...

ตกรถ ไม่เจ็บแต่เสียดาย

หลายคนคงงุนงงเป็นไก่ตาแตก หลังจากซึนามิถล่มญี่ปุ่นไม่นาน ตลาดหุ้นบ้านเราก็เจอซึนามิจากกระแสเงินต่างชาติ ถล่มต่อเนื่อง ลากหุ้นไทยจาก 1000 จุดไปทดสอบแนวต้านต่างๆ โดยเฉพาะต้านที่ 1050 ผ่านฉลุย จนหลายคนเริ่มฝันถึง 1200 กันแล้ว บ้างก็ว่าไปถึง 1700 จุดในปลายปี การซื้ออย่างต่อเนื่อง ราวกับแย่งซื้อของราคาถูกย่อมทำให้ นักลงทุนหลายคนประหลาดใจ อาจจะเพราะความมั่นใจในสเถียรภาพการเมืองไทย ที่คิดว่าปีนี้เลือกตั้งจะไม่มีม๊อบออกมาป่วน เผาตลาดหุ้นแบบปีทีแล้ว แต่กระนั้นเองก็ยังไม่อาจจะคาดเดาได้ว่าหุ้นไทยจะบวกได้ไกลสักเพียงไหน อานิสงค์ของนักลงทุนตัวน้อยๆแบบอย่างผมที่พลอยได้ยิ้มไปกับกระแส fund flow ด้วยเพราะหุ้นในพอร์ตเขียวสว่างสดใสตัวละหลายสิบเปอร์เซ็นต์ (หุหุหุ) แต่ยังเพื่อนๆหลายคนที่บ่นกระปอดกระแป๊ดว่าตกรถ!!! ไม่ทันขบวนรอบนี้ วันนี้ผมมีวิธีแก้ปัญหาการตกรถง่ายๆมาแนะนำเพื่อนๆกัน  อาการตกรถ "ตกรถ" เป็นอีกหนึ่งอาการที่แมงเม่า ย่อมต้องเคยเจอ อาจจะนิยามได้ว่าเป็นอาการที่ไม่ได้เจ็บตัวแต่เจ็บที่ใจ อาจจะเกิดจากการซื้อไม่ทัน กลัวไม่กล้าซื้อ หรือรอนานจนขายทิ้งไป ไปถือตัวอื่น และแล้วหุ้นก็ขึ้นโดยไม่มี...