ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ข้อควรระวังในการสอบชิงทุนสำหรับเทรดเดอร์

 อยากแชร์ข้อมูล พอดีไปเจอ Prop Trading (Fund) ต่างประเทศบางเจ้า(ไม่ระบุชื่อนะ) อ่านเงื่อนไขแล้วรู้สึก เทรดเดอร์เสียเปรียบ เพราะไม่ได้ต่างอะไรกับโบรกเกอร์เลย เช่น

1. ต้องเปิดบัญชี เทรดบน Platform ของเขา นั้นคือ บริษัทเป็น market maker ดูแลกระดานเทรด, ราคาสินค้าเทรดเอง(ลาก/กระชากราคาเพิ่ม volatility ให้สูงกว่าปกติ ,หรือทำ stoploss hunter เองได้ด้วย), กำหนดค่า Fee ,ค่า Com ,ค่า swap เองทั้งหมด
2. เสียค่าสมัครทดสอบ paper trading 15 วัน $200 เงินกินเปล่าแรกเข้า(เงื่อนไขสอบไม่ยาก เพราะเขาอยากให้คนร่วมเยอะๆ)
3. ต้องฝากเงินในบัญชีอย่างน้อย 1 ใน 10 เช่น $10,000 เพื่อรับทุนเทรดบัญชี $100,000 (คล้ายกับ leverage 10x)
4. ต้องทำยอด เทรดอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 Order, จำนวนเทรดสะสมต่อเดือนต้องเกิน 1-5 lot ขึ้นกับเงินทุน (ไม่ถึงตกต้อง สมัครใหม่จ่าย $200)
5. ห้ามขาดทุน Drawdown เกิน 5%-10% ของ capital ไม่งั้นตกไม่ผ่าน
6. กำไรที่ได้คิดจากเงินทุนทั้งหมด แบ่ง 20-30% ให้บริษัท เทรดเดอร์ได้ 70% เช่นเทรดได้กำไร $1000 โดนหัก $300 (อันนี้ดูได้เยอะ คล้ายเราเป็นเจ้าของเงินทั้งหมดเลย)
7. ถ้าเทรดผ่าน 1 ปีได้เงินเพิ่ม 1 เท่าจาก Fund เริ่มต้นเช่น ทุน Balance เริ่มต้น $100000 เพิ่มเป็น $200000 (เหมือนได้ leverage เพิ่มเป็น 10,000 : 200,000) ,ถ้าเทรดเดอร์อยากพอร์ตใหญ่ก็หาเงินตัวเองมาเพิ่ม บริษัทก็จะเพิ่มยอดให้ตามเงื่อนไข
โมเดลธุรกิจนี้ ใช้ Funding มาขาย เหมือนจะออกเงินหลักหมื่น หลักแสนเหรียญให้เทรด แค่ขอส่วนแบ่งกำไร 20% แต่เอาจริงๆ Prop Trading Firm ไม่เสียเปรียบเลยนะ เพราะ
- ถ้าเทรดเดอร์ เทรดดี บริษัทได้ส่วนแบ่งกำไร, ได้ยอดค่าคอม,ค่า Fee ,เอาไป copy trading ต่อได้กำไรตรงนั้นอีก
- ถ้าเทรดเดอร์ เทรดแย่ เทรดไม่ผ่าน ล้างพอร์ต, บริษัทขาดทุนทางบัญชี บางส่วน แต่ก็ได้ยอดค่าคอม,ค่า Fee ,ได้ค่าสมัครรอบใหม่
**********
เงื่อนไขแบบนี้ เหมือนจะดูดีได้ funding ได้เป็น Online Prop Trader
แต่เอาจริงๆ ลองเปรียบเทียบกับ โบรกเกอร์ปกติ ที่ให้ขั้นต่ำ leverage 1:30 เท่า อาจจะไม่ได้ต่างอะไรมากในด้านเงินทุน หรือให้เงินกู้มาเทรด
เพราะ ฺBroker ก็เสนอ margin ในรูปแบบของ Leverage ให้ ก็คือให้ทุนหรือ อำนาจเงินไปเทรดเช่นกัน, เมื่อให้ leverage บังคับระดับ stopout ไม่เกิน 70% (สมมติจาก $10000 โดนบังคับปิดถ้าเหลือ $3000 หรือเรียกเติมเงินเพิ่ม) ไม่ต่างอะไรกับการบังคับไม่ให้พอร์ต เกิน Drawdown หรือ Balance ลดเกินกำหนด
มองอีกมุม ถ้าเราใช้บริการกับโบรกเกอร์ ข้อดีคือ ไม่ต้องแบ่งกำไร(profit sharing) ,ไม่โดนเก็บค่า Com ,ค่า Overnight fee แพง และไม่โดนโก่ง spread ราคา(เพราะโบรกเกอร์ทำ promotion แข่งกัน) ,ไม่ต้องทำยอดเทรด volume ขั้นต่ำรายเดือน(อันนี้ เป็นการเพิ่มความเสี่ยงเพราะต้องเทรดตลอดเวลาแม้ตลาดผันผวน, และ เพิ่ม cost ค่าคอมค่า Fee ต้องจ่ายต่อเดือน)
แต่ก็ไม่ได้แปลว่า ทุกเจ้า จะมีเงื่อนไขที่เอาเปรียบเสมอไปนะ
**********
Key Take away
1.ไม่ได้แปลว่า การหาทุนเทรดไม่ดี แต่บางที ก่อนร่วมต้องดูเงื่อนไขด้วย เพราะบางทีเทรดเดอร์ อยากได้เงินทุน ได้ Funding แต่ถ้าเงื่อนไข มันไม่ได้เปรียบ ดังนั้นเทรดเงินตัวเอง อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ ครับ
2. ก่อนจะเทรดเงินคนอื่น เราต้องมีระบบเทรดที่ดี บริหารความเสี่ยง ให้สมบูรณ์ก่อนเสมอ
3. ไม่มีเงินฟรี ของฟรี ในโลก ไม่มีใครเอาเงิน $100,000 มาให้คนแปลกหน้าเทรดฟรีๆ โดยไม่หาประโยชน์ อย่างมองโลกสวย มองโมเดลธุรกิจ ของเขาให้ออก ว่าหาประโยชน์อย่างไร และเรารับได้หรือไม่
4. ระวัง !!! ความเสี่ยง counter party risk เช่นบริษัทเลิกกิจการ หลายบริษัทไม่ได้จดทะเบียน ไม่มี regulation อะไรมีแค่เว็บไซต์ ,อาจจะโดนเฉิดเงินหาย,ถอนเงินไม่ได้ ถอนกำไรไม่ได้, บางบริษัทมีตุกติก ,ลูกเล่นเช่น ยกเลิก Product สินค้าบางตัวไม่ให้เทรดต่อ ทำให้เทรดเดอร์ต้องโดนบังคับปิด position รับขาดทุน เป็นต้น