พอดีมีน้องคนหนึ่ง DM มาถามว่า 2 ประเภทเครื่องมือนี้ต่างกันอย่างไร คิดว่าหลายคนคงอยากรู้เหมือนกัน จึงนำมาสรุปย่อให้ฟังดังนี้ครับ
Market Profile กับ Volume profile นั้นแตกต่างกันในด้านการใช้ data แต่วิธีคิดการวิเคราะห์คล้ายกัน คือดูการกระจายตัว หรือ distribution ของ market activity ในกรอบเวลาที่สนใจเช่น ภายในวัน
โดยหลักการพื้นฐานคือการจำแนกลักษณะการกระจายตัวของ พฤติกรรมราคา แบบความเป็นปกติ(normal dis)และความไม่ปกติ ด้วยการ plot การกระจายตัวผ่านกราฟ histogram เป็น chart ที่ไม่ใช่ time series แบบกราฟราคาทั่วไป
1. Market Profile (TPO -Time Price Opportunity)
นี้ของ J. Peter Steidlmayer ลิขสิทธิ์ของ CBOT ดูพฤติกรรมตลาดในกรอบ day ตัวนี้ในหนังสือ Technical Analysis ของ John Murphy สอนไว้ละเอียดเลย อ่านตามนั้นได้ สรุปสั้นๆ ใช้ตัวอักษร A,B,C,D เป็นตัว marker นับ เพื่อดูการกระจายของราคาใน price level ต่างๆ ตามโมเดลของ CBOT ส่วนการนับ TPOหรือเลือกข้อมูลราคา นั้นจะมาร์คอักษร ทำความถี่การสังเกตทุก 30นาที ถ้าราคา TPO ซ้ำโซน Price level ก็ขึ้นแถว ต่อๆไป ดังนั้นเราจะเห็นการกระจายตัวของ ราคา ที่เกิดภายในวัน และเห็น นัยยะสำคัฯของ Price level นั้นๆ ตามกราฟ
-ค่า Mode ที่มีการซ้ำของ TPO เห็นเหมือนเป็นยอดของกราฟ จะเรียก Point of Control (POC) ตัวแทนระดับราคาเฉลี่ยบนชุดข้อมูลการกระจายในกรอบเวลาสังเกต เช่นในวัน
- หาระยะกระจายตัวจากโดยเรียก Value Area(VA) ใช้ POC +/- STD ของข้อมูลราคาทั้งหมด ได้ VAH และ VAL และวางแนว High และ Low ของวันประกอบบนล่างของกราฟกระจายตัว
-การอ่านค่าไม่ยาก ดูพฤติกรรมตลาดจาก ดู price distribution ธรรมดา แยกวันปกติแกว่งแคบ ยกขึ้น ลง หรือออกข้าง , วันไม่ปกติเปิด high volatility จะเห็นกราฟ หางยาว ค่า VA กว้าง ,
-จะออกทรงไหนก็ดูตามได้ เช่นถ้าหางยาวล่าง L ห่าง POC มากก็ทรงกระชากขึ้น คล้าย breaout ประมาณนี้ แต่ในหนังสืออิงตาม CBOT จะมีชื่อเรียกต่างๆนานาๆ อันนี้ดูตามได้ครับ ส่วนเมื่อดู pattern จะเทรดยังไง ซื้อหรือขาย อันนี้แล้วแต่ trading strategies ครับ
-ปัญหาที่ไม่ค่อยมีคนเขียนหนังสือเพราะมันไม่มีเครื่องมือในโปรแกรมเทรดให้ใช้ นอกจากของ CBOT แต่ในตลาดอื่นๆ ไม่ค่อยเห็นโปรแกรมจะมา plot ราคาแบบมาร์ค TPO ในอดีตแล้ว
2. Volume profile (VPO -Volume Price Opportunity)
การวิเคราะห์นี้อีกแบบ คือใช้การหา volume ที่มีการจับคู่ของ Order ในกรอบ interval ของราคาที่กำหนดแทน
-กราฟพวกนี้ ดูการกระจายตัว(Price distibution) ร่วมกับ volume เพื่อเป็นการจำแนกนัยยะของ Price level และการกระจายตัวของราคา โดยค่าสะสมบน Price level จะไม่ใช่การพักของ ราคา แต่จะเป็นการสะสมของ volume ที่ไปจับคู่ในช่วงราคานั้นเยอะๆ ยอดกราฟก็จะโต ,
แต่กราฟ histogram พวกนี้จะซับซ้อนกว่า บางประเภทแยกยอด Buy, Sell ออกจากกันด้วย
-พวกนี้ จะเห็นปัจจุบันเยอะ เช่นใน Trading View แต่กรอบ เวลาจะกำหนดเองได้(มีทั้งแบบรวม,แบบแยกรายช่วงเวลา t1 - t2) ,ขนาด Bin ก็กำหนดได้ไม่จำเป็นต้องภายในวันเสมอไป และปรับการวิเคราะห์ตามโมเดลที่เราต้องการได้
-การวิเคราะห์ pattern คล้ายกัน ดู Volume&Price distibution หานัยยะสำคัญราคา price level ต่างๆ ดูการเปลี่ยนแปลงของกรอบ VA ดูเรื่องการ Breakout ที่ระดับราคาสำคัญ VAH , VAL หรือ POC เป็นต้น
- POC คือค่า Mean ที่มี volume จับคู่เยอะสุด สะท้อน market activity ในช่วงราคานั้นๆ
-ส่วน VA ก็คำนวณจาก 1 STD หรือ 68% ของกลุ่มข้อมูล เหมือนเดิมใช้มาร์คเป็น แนวรับ แนวต้าน เพื่อสังเกต Price movement ได้โดยดูกรอบระดับราคาที่ VAH, VAL
-ตัว volume profile จะนิยมใช้มากในปัจจุบันเพราะได้ค่าที่มีนัยยะจากการจับคู่จริงๆ มากกว่าแค่ดู ราคาเคลื่อนไหวอย่างเดียวเช่น CBOT Market profile ครับ
- ปัจจุบันถ้า วิเคราะห์ market activity เพื่อเทรด แนะนำศึกษา volume profile อันนี้ดีกว่า พร้อมทำความเข้าใจเรื่อง stat , gaussian distribution ดีกว่าไปนั่งท่องจำ ใช้จริงได้ง่ายกว่า เพราะมีโปรแกรม trade ให้ใช้เช่น Trading view , amibroker