ประเด็นนี้น่าสนใจมากทั้งกระทู้คำถามและความคิดเห็นในพันทิป อ่านจบเลยอยากบันทึกความคิดและมุมมองตัวเองในเรื่องนี้ไว้สักหน่อย
สมัยเริ่มทำงานใหม่ๆ มันจะมีชุดความคิดหนึ่งคือว่า ถ้าทำงานเก่ง ทำงานหนัก จะต้องประสบความสำเร็จ (ต้องก้าวหน้าต้องรวย) แต่พอทำงานสัก 10 ปีเริ่มตระหนักเข้าใจได้ว่า การจะก้าวหน้าหรือจะรวย ,การเป็นคนทำงานเก่ง มันไม่พอ มีอีกหลายปัจจัยมากมาย
ยกตัวอย่างเมื่อต้นปีได้ไปทำงานเป็นที่ปรึกษาโปรเจคหนึ่ง ได้เจอพี่คนหนึ่งทำงานเก่งทำงานดี แต่แกไม่ก้าวหน้า ไม่เป็นที่รักของเพื่อนๆในทีม สาเหตุเพราะแกชอบกลับบ้านเร็ว เลิกงาน 17.00 กลับบ้าน ไม่เที่ยวไม่สังสรรค์ใดๆ ,ขณะที่ทำงานดีแต่ก็ไม่เคยทำงานมากเกินหน้าที่ ไม่เคยช่วยใคร ไม่รับอาสาใดๆ ไม่ทำ OT ซึ่ง เจ้านายก็ไม่ค่อยปลื้ม แถมว่าแกอีกว่าไม่ทะเยอทะยานรักความก้าวหน้า ,ในขณะที่ถ้ามีคนโยนงานให้แกแกโวยวายทันทีไม่ยอมเสียเปรียบ , เลยทำให้ตกที่นั่งทำงานเก่ง(เร็วและเรียบร้อยดี) แต่ไม่ก้าวหน้าไปโดยปริยาย
ทุกคนก็คิดว่าแกเห็นแก่ตัว ,แต่บังเอิญผมไปทราบข้อมูลจากรุ่นน้องที่เป็นญาติห่างๆกับพี่คนนี้มาว่า ภรรยาเขาป่วยเป็นมะเร็งหลายปี,และแกต้องดูแลลูก ทำให้ต้องใช้เวลาทั้งหมดที่มีนอกเหนือเวลางานดูแลครอบครัว จุดนี้พี่คนนี้แกก็ไม่เคยบ่น ไม่เคยเล่าขอความเห็นใจกับใครในที่ทำงาน แกก็แค่ทำงานตามหน้าที่เต็มที่ แล้วก็รีบกลับบ้านไปดูแลครอบครัว จุดนี้คนนอกไม่ทางเข้าใจเลย (เอาจริงๆต่อให้แกอธิบายขอความเห็นใจ ผมก็คิดว่า office ที่ทำงานก็คงไม่ได้ช่วยอะไรได้มาก)
อีกเคสเป็นอีกบริษัท รุ่นน้องเพิ่มจบมาได้ 5 ปีทำงานเก่งมาก เรียนรู้ไว้ ภาษาอังกฤษก็ดี แต่คนนี้ไม่เคยทำงานเกินขอบเขตของตัวเอง ทำงานชิวๆ ไม่อาสาทำงานแทนใคร ทำงานเสร็จก็กลับบ้านทันที , รู่นพี่และเจ้านายในแผนกก็บ่นว่าคนแบบนี้ขี้เกียจ ไม่รักความก้าวหน้า ,ด้วยความบังเอิญผมมีโอกาสได้ไปนั่งคุยกัน พบว่าน้องคนนี้เขามีความสนใจเรื่องการทำขนมเบเกอรี่(อยากเป็นเชฟ) และอยากทำ cafe ของตัวเอง, เป้าหมายชีวิตชัดเจนมากแต่มันแค่ไม่ใช่งานประจำ ดังนั้นเขาทำงานเพื่อเงินเดือนมาใช้จ่ายและเก็บออมไว้ทำธุรกิจส่วนตัว แต่เวลาที่เกินกว่านั้น เขาเอาไปทำสิ่งที่เขา passion ไปเรียนรู้การทำขนมไปเที่ยวชิมขนมร้านต่างๆ เพื่อปูทางในการสร้างอนาคตของตัวเอง (แต่ไม่เคยแชร์ให้ใครที่ทำงานฟังเพราะไม่อยากโดนไล่ออกยังทำงานเก็บเงินต่ออีกสักหลายปีและกลัวโดนด่าว่าไม่รักงานไม่รักบริษัท)
สุดท้าย "การทำงาน" มันคือส่วนหนึ่งในชีวิต, ถ้าเรารู้ว่าต้องการใช้ชีวิตแบบไหน วิธีการทำงานมันก็จะออกมาเป็นแบบนั้น จริงๆมันไม่มีถูกหรือผิด ตราบใดที่ไม่เอาเปรียบกัน ไม่ทำให้เพื่อนร่วมงานเดือดร้อน เพราะสุดท้ายความสำเร็จและเป้าหมายในชีวิตแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ทุกคนอยากได้ตำแหน่งสูงๆ เป็นเจ้าคนนายคนเสมอไป หรือบางคนอาจจะอยู่ในช่วงค้นหาตัวเอง ต้องการใช้ชีวิตมากกว่าการสร้างฐานะก็เป็นได้
แน่นอนว่าคนที่รักความก้าวหน้า ทำงานเก่ง ทำงานหนักก็เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาและย่อมเป็นที่ต้องการขององค์กร แต่สมควรที่จะได้รับผลตอบแทนและความก้าวหน้าที่คุ้มค่า เหมาะสมกับสิ่งที่ทำด้วยเช่นกัน(ไม่ใช่ถูกบริษัทเอาเปรียบหรือโดนการเมืองภายในออฟฟิตเล่นงาน,โดนเจ้านายกดหัวหาประโยชน์)
และที่สำคัญ ยุคปัจจุบันมันไม่ควรเอากรอบ หรือหลักความเชื่อแบบอดีต (ในสภาวะที่มีการแข่งขันกันสูงในที่ทำงาน) มากดดันให้ทุกคน ต้องทำเหมือนกัน ,ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ทุ่มเทชีวิต (เวลา+สุขภาพ) ให้กับการงานหรือกับองค์กร มากเกินไป (โดยเฉพาะมากเกินกว่าค่าตอบแทนที่ได้รับ) เพื่อแลกกับคำว่า "รักองค์กร", หรือ "รักความก้าวหน้า"