เพิ่งจะได้ดูหนัง Big Short ดูจบสิ่งที่ทำให้ผมคิด คือ เราจะเป็นผู้ชนะในวิกฤติการเงินยังไง? ต้องเป็น Hero แบบ Burry หรือไม่(หลายคนดูออกจากโรงอยากเป็นแบบนี้ ชนะได้แบบนี้กันส่วนใหญ่)
นั่งทบทวนดู พบ มี 2 แนวทาง
1. ทำแบบ Michael Burry คือมั่นใจว่าจะเกิดฟองสบู่ กล้าสวนแนวโน้มแล้ว short ทนขาดทุน 2 ปี พอถูกก็กิน แจ๊คพ๊อตก้อนใหญ่ (ก็ต้องยอมรับเขาเก่ง บริหารเงินดีค่อยๆสะสม positionและอึดจิตใจหนักแน่น)
2. ถ้าเชื่อว่า ฟองสบู่จะมาก็ re balance ถือเงินสด(virtual short) มากพอ รอให้มันเกิดวิกฤติ หา discount เข้าซื้อสะสมของถูก ทำกำไรจากการฟื้นตัว >>(อันนี้คนสำเร็จมีเยอะ แต่มันไม่หวือหวา เลยไม่มีคนทำหนัง)
ในตลาดการหากำไรจากวิกฤติจริงๆ 2 แนวทาง มีคนเดินกลยุทธ์และ ประสบความสำเร็จอยู่ทั้ง 2 แบบ มันขึ้นเราจะเลือกทางไหน
ส่วนตัวผมคงไม่ทำแบบ Burry (และไม่เห็นด้วยที่จะไปสนับสนุนให้คนมา short ดัชนีเพียงเพราะคิดว่ามันสูง) เพราะ เพดาน มันหายากการประเมินแรงขับ ความโลภของคนมันทำได้ไม่ง่าย บวกกับก่อนจะลงหรือวิกฤติใหญ่จะมา ตลาด volatile จะสูง ถ้าเดินแผนไม่ดี บริหารเงินห่วยก็โดนกินเรียบได้
แตกต่างจาก การหาพื้นหรือจุดต่ำสุดที่ถ้ามันต่ำจริงๆ มันก็ไม่ลงต่อ ตรงนี้วัดกันที่กลยุทธ์ แค่เรามีเงินสดพอ มีความสามารถบริหารความเสี่ยง ในช่วงเวลาที่ราคาตกต่ำหรือวิ่งโซนต่ำ ได้นานหรือไม่
อีกคำถามที่ คนที่อยู่ในตลาดต้องคิด ให้ได้คือ จะ action ยังไงเมื่อวิกฤติการเงินมาในอนาคต ถ้าเรามีแผนมีความพร้อม โอกาสรอดไม่ล้างพอร์ต และหาประโยชน์จากมันได้ก็มีสูง ตรงนี้จะ gearing ในการสร้างพอร์ตชั้นดีเลยทีเดียวครับ
นั่งทบทวนดู พบ มี 2 แนวทาง
1. ทำแบบ Michael Burry คือมั่นใจว่าจะเกิดฟองสบู่ กล้าสวนแนวโน้มแล้ว short ทนขาดทุน 2 ปี พอถูกก็กิน แจ๊คพ๊อตก้อนใหญ่ (ก็ต้องยอมรับเขาเก่ง บริหารเงินดีค่อยๆสะสม positionและอึดจิตใจหนักแน่น)
2. ถ้าเชื่อว่า ฟองสบู่จะมาก็ re balance ถือเงินสด(virtual short) มากพอ รอให้มันเกิดวิกฤติ หา discount เข้าซื้อสะสมของถูก ทำกำไรจากการฟื้นตัว >>(อันนี้คนสำเร็จมีเยอะ แต่มันไม่หวือหวา เลยไม่มีคนทำหนัง)
ในตลาดการหากำไรจากวิกฤติจริงๆ 2 แนวทาง มีคนเดินกลยุทธ์และ ประสบความสำเร็จอยู่ทั้ง 2 แบบ มันขึ้นเราจะเลือกทางไหน
ส่วนตัวผมคงไม่ทำแบบ Burry (และไม่เห็นด้วยที่จะไปสนับสนุนให้คนมา short ดัชนีเพียงเพราะคิดว่ามันสูง) เพราะ เพดาน มันหายากการประเมินแรงขับ ความโลภของคนมันทำได้ไม่ง่าย บวกกับก่อนจะลงหรือวิกฤติใหญ่จะมา ตลาด volatile จะสูง ถ้าเดินแผนไม่ดี บริหารเงินห่วยก็โดนกินเรียบได้
แตกต่างจาก การหาพื้นหรือจุดต่ำสุดที่ถ้ามันต่ำจริงๆ มันก็ไม่ลงต่อ ตรงนี้วัดกันที่กลยุทธ์ แค่เรามีเงินสดพอ มีความสามารถบริหารความเสี่ยง ในช่วงเวลาที่ราคาตกต่ำหรือวิ่งโซนต่ำ ได้นานหรือไม่
อีกคำถามที่ คนที่อยู่ในตลาดต้องคิด ให้ได้คือ จะ action ยังไงเมื่อวิกฤติการเงินมาในอนาคต ถ้าเรามีแผนมีความพร้อม โอกาสรอดไม่ล้างพอร์ต และหาประโยชน์จากมันได้ก็มีสูง ตรงนี้จะ gearing ในการสร้างพอร์ตชั้นดีเลยทีเดียวครับ