คำถามหนึ่งที่เจอบ่อยๆมาก คือ คำถามประมาณว่า ทำไมน้องไม่ไปทำกองทุน ไม่ไปทำ hedgefund
วันนี้มีโอกาสสนทนากับพี่ท่านหนึ่ง เขาบอกว่า เขาทำงานใน wallstreet ให้กองทุน hedgefund แห่งหนึ่งอยู่ ได้อ่าน blog แล้วชอบบทความเลย email แลกเปลี่ยนไอเดียการทำระบบเทรดกัน
ท่านนี้เก่งจริง รู้จริง ไม่มั่ว แถมไม่อวดตัวด้วย ชอบมากๆ
เขาถามคำถามนี้กับผมว่าทำไมไม่ออกมาลุยอเมริกา ที่นี้เงินเดือนดีนะ เขาบอกว่า ที่นี้คนขยันๆตั้งใจแบบน้อง นี่ไปได้รุ่งแน่นอน (เห็นตัวเลขส่วนแบ่งเขาทำได้แล้ว บอกได้เลยว่าสุดยอดจริงๆ)
ผมปฏิเสธไปเหมือนเดิมแหละ ใครชวนไปไหนปฏิเสธหมด 555
เพราะผมไม่ได้มุ่งหมั่นเอาดีทางสายอาชีพนี้ นิยามความสำเร็จคนเราไม่เหมือนกัน
สำหรับผมคือ ผมทำเพราะสนุก ผมรักที่จะทำ อยากตื่นมาทำ ผลงานดี พอเลี้ยงตัวเลี้ยงครอบครัวได้ก็จบ
ผมชอบอาชีพที่ทำมากได้มาก ไม่ขึ้นกับลูกค้า ไม่ขึ้นกับเจ้านาย (เจอปัญหากับพวกนี้มาเยอะ)
มีโจทย์ มีปัญหาให้ได้แก้ ได้ทดลองตลอด
เลยเลือกเดินเส้นทางนี้ ที่สำคัญถ้าวิชาแก่กล้ามากๆ ประสบการณ์มากพอ ผ่านสัก 2 หมี 3 กระทิง
พ้นหลัก 16 ปี อายุอานามขึ้นหลัก 4 คงผันตัวไปทำอย่างอื่นเป็นหลักในชีวิตแทน
ตอนนี้ขอลุย ขอฟิตสกิลด้านการเทรดของตัวเองให้ถึงที่สุดก่อน
การเทรด เป็นงานที่ทำเพื่อสร้างฐานของชีวิตระดับหนึ่ง
ผมไม่ได้ต้องการทำให้มัน ติด top ten หรือเป็นอันดับโลก ระดับประเทศไรแบบนั้น
ดังนั้น การเอาเวลา และร่างกาย ไปทำงาน หาเงินให้คนอื่น หรือเร่งสร้างเงินเยอะๆ สำหรับผม ผมมองว่ามันไม่จำเป็น
เวลาบนโลกมีแค่ หมื่นกว่าวัน อยากใช้ให้ตัวเองและครอบครัว มากกว่า
ผมชอบเขียน ชอบทดลอง ชอบเรียนรู้ ทำแล้วสนุกก็ทำกันต่อไป
ทุกวันนี้ มีอิสระ เทรดได้ หยุดได้ บริหารเวลาไปทำอย่างอื่นที่อยากทำได้
ถึง ฤดูกาลเขียนหนังสือ ก็หนีไปนอนโฮมเสตย์ หลายสัปดาห์นั่งเขียนหนังสือ
ไม่มีใคร มาบังคับ ไม่มียอดตายตัวต้องทำ ต้องเร่ง
และ key สำคัญของการเทรดคือ ทำยังไงก็ตามที่เทรดแล้วมีความสุข ไม่ใช่เทรดแล้วเครียด กังวลทั้งวัน ทั้งปี แบบนั้นเรียกว่า "ผิดทาง"
ผมใช้เวลาอยู่นาน กว่าเปลี่ยนจากแนวคิดตะวันตก มาเป็นตะวันออก หาระบบ หากลยุทธ์การเทรดที่มันเหมาะกับตัวเรา ไม่มากไม่น้อยเกินไป
เน้นความสมดุล เน้นการผ่อนหนักผ่อนเบา วันนี้ัมันเวริ์ค ทำให้ชีวิตมันช้าดี เป็นอิสระทางเวลา ทางการเงิน(ไม่ได้มีพันล้าน หมื่นล้านอะไรนะ แต่มีพอใช้พอเลี้ยงชีพไม่ลำบากเท่านั้น) ผมว่ามันเหมาะกับผมดี
ดังนั้นผมเทรด จึงไม่เร่ง โตเรื่อยๆมั่นคง ไม่เอายอดเงินไปอวดไปแข่งกับใคร
เพราะผมยึดหลักปรัญญาทางตะวันออก เน้นสมดุล ไม่ช้าไม่เร็ว แต่มั่นคง
ท่านอื่นๆ ที่เร่งจะสำเร็จ ทางสายอาชีพนี้มากๆ ผมว่าก็เป็นเรื่องดี ไม่ใช่เสียหาย
แต่แน่นอน มันต้องแลกมาเหมือนที่เราทราบว่างานสายนี้ เก่งแค่ไหน
ถึงจุดหนึ่ง ต้องผ่อน เพราะร่างกายและสภาวะจิตใจ มันเริ่ม รับกับความเครียดมากๆ
อาจจะมีผลต่อความสุขในชีวิตแน่นอน
ส่วนมากที่ผมเห็น คนที่อยู่สายนี้แล้ว ประสบความสำเร็จจริงๆ ไม่ใช่อยากรวย อยากได้เงินอย่างเดียว
มันเป็นเรื่องของ การอยากเอาชนะขีดจำกัดตัวเองมากกว่า เพราะยิ่งยาก ยิ่งทำไม่ได้
ถ้าคนมันบ้าพอ มันจะลุยต่อแบบสุด พอผ่านด่าน 1 ไปได้ก็ลุยด่าน 2 ด่าน 3 ต่อแบบสนุก
แต่ถ้าจะมาแบบ ชิวๆขำๆอยากรวยทางลัด ผมไม่เคยเห็นคนเหล่านี้จะผ่านด่านของจริงไปได้สักที
คนจำนวนมาเข้ามาตรงนี้เพราะภาพ สวยงามที่โฆษณา แต่เอาจริงผมบอกได้เลย ว่าไม่ง่ายและหินมากครับ
มันไม่ใช่แบบเท่ห์เหมือนที่ เราเห็นกัน บางโซลูชั่น บางเรื่อง กว่าจะรู้จะเข้าใจ อาจจะต้องอ่าน ต้องทำ
ลองผิดลองถูกกันหลายร้อยครั้ง ผิดทีก็เจ็บที บางทีเจ็บหนัก ไปหลายวันก็มี
ถ้าใครอยากจะก้าวไปอยู่ท๊อปของตลาด อนู้ฝั่งผู้ชนะ การพัฒนาตัวเองสำคัญ
เป็นสิ่งที่ต้องทำจริงจัง ไม่ใช่สร้างภาพ หรือทำการตลาด ประชานิยม
เพราะมันมากกว่า การซื้อๆขายๆไปวันๆ มันเป็นเรื่องการดึงศักยภาพของตัวเราออกมาใช้ทั้งหมด
รวมถึงการใช้สมอง ใช้ระบบคิดที่ต้องพัฒนาเรียบเรียงต่อยอดเป็นกลยุทธ์ในการแข่งขัน ในทุกวัน
ตรงนี้ จึงไม่ใช่ทุกคนทำได้
การลงมือทำ การรบในสนามจริง มันยากกว่าการพูด การเดา
หรือมานั่งอธิบานกราฟย้อนหลังที่เกิดแล้วจบแล้วหลายพันหลายหมื่นเท่า
นั่นแหละครับ ที่ผมจะบอกว่า มันเป็นงานเป็นอาชีพ ที่ไม่ง่ายเลย และไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้
หรือทำแล้วประสบความสำเร็จระยะยาว
------------------------------
เขียนมาถึงตรงนี้ มีเรื่องอีกมุมมาเหล่าให้ฟัง สำหรับน้องๆถวิลหาอยาก เดินเส้นทางนี้
ผมมีเรื่องราวของ 2 เทรดเดอร์ที่ขึ้นไปถึงยอด Peak แล้วเขาค้นพบสัจจะธรรมบางอย่าง
จนหันหลังให้วงการนี้ไป เลือกเส้นทางเดินอื่นๆ
คนแรกคือ Forrest Xiao คนนี้เก่งโครต อายุแค่ 25 แต่ผลงานเขาดีจริงๆเป็นที่จับวางให้เป็นดาวรุ่งของวอลสตรีท
จบสายประสาทวิทยา ที่ Washington University เข้า มาทำสายการเงินให้ Goldman Sachs ตำแหน่งนักวิเคราะห์
ผลงานดีจนโดนดึงไป เป็นนักลยุทธ์และบริหารพอร์ตให้กับ hedgefund ที่่ AQR Capital Management
และแล้ววันหนึ่งหลังจากทำงานหนักทุ่มเท เวลา แรงกายแรงใจสร้างเงิน
เขาค้นพบ ว่าชีวิตต้องการอะไร ที่มากกว่าเงิน เลยลาออก มาแบกเป้เดินทาง รอบโลก
และทำงานเป็น Creator และเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว
ทำด้านการวางแผนการท่องเที่ยว ที่ Splashee.com
ผมว่าเรื่องเงินคงไม่ใช่ปัญหา เพราะคนพวกนี้ เงินเก็บเหลือเฟือ บวกกับทักษะการลงทุน การเทรด เขาทำงานในดีกรีเบาๆ หาเงินใช้ ระหว่างเที่ยวได้แน่นอน แถมไม่ต้องมานั่งเครียดบริหารเงินหลายล้านเหรียญ ทำยอดทำเป้าให้ลูกค้าด้วย
คนที่สองคือ Jan Sramek สุดยอดเทรดแห่งวงการ forex เชื่อว่าเอ่ยชื่อคนส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินใช่ไหมครับ เพราะพวกนี้เขาเทรดเป็นอาชีพ ไม่ค่อยออกสื่อ หรือมาเดินสายโชว์ตัวตามงานเท่าไหร่
เขาถูกยกให้เป็น ดาวรุ่งที่อายุน้อย และมีฝีมือดีคนหนึ่งในสายการเทรดค่าเงิน
จบสายคณิตศาสตร์จาก London School of Economics
ตอนเรียนก็ได้ทุน รวมถึงทุนของ George Soros academic award
และจบมามีหลายบริษัทและสถาบันการเงิน เสนองานให้ทั้ง Goldman, BarCap, Deutsche Bank, UBS และ hedge fund อย่าง Marshall Wace and AKO Capital สุดท้าย เขาทำงานเป็น Proprietary Trader Goldman Sachs
Sramek เป็น FX trader ที่มีผลงานดี แต่ในวัย 25 ปีเขาก็ยื่นจดหมายลาออก หันหลังในวงการ ทำเอาช๊อคไปตามๆกัน เพราะก่อนหน้ามีหลายคนคาดว่าเขาจะเป็นเซียนระดับโลกในอนาคต เพราะเทียบจากฝีมือและอายุของเขา มีความได้เปรียบ คนอื่นๆมาก
ไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไร เทรดเดอร์ดาวรุ่งขั้นเทพ คนนี้ถึงลาออกจากงาน จากผลตอบแทนมหาศาล
แต่ส่วนใหญ่เชื่อกันว่า เขาคงอิ่มตัวจากการทำงานด้านนี้ และอยากมองหาชีวิตในอีกรูปแบบใหม่
Jan Sramek ไม่ได้ออกไปท่องเที่ยว แต่เขาไปทำบริษัท startup เป็นเว็บขายบริการ online training courses ซึ่งดูเหมือนจะลงตัวและตอบโจทย์ชีวิตของเขามากกว่าการเป็นเทรดเดอร์
--------------
อ่านมาตรง นี้ไม่ได้บอกนะครับ ว่าเลิกเป็นเทรดเดอร์กันเถอะ ไม่ใช่ 555
แต่จะบอกว่า การเป็นเทรดเดอร์อาชีพ มันมีหลาย level ที่เราสามารถจะออกแบบให้เหมาะกับ จริตและชีวิตเราได้ สำคัญต้อง รู้จักตัวเอง ว่าต้องการอะไร ต้องการชีวิตแบบไหน
อะไรคือ คำตอบ ของการมีชีวิตอยู่ บนโลกกลมๆใบนี้
ความสำเร็จสุดท้าย มันไม่ใช่ที่ตัวเงิน หรือชื่อเสียง หรือการขึ้นไปเป็น สุดยอดเป็น top เหนือคนอื่น
แต่ผมว่า ความสำเร็จ มันคือการที่เรา มีความสุขในชีวิต ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและอยากทำ
ได้ให้ ได้ตอบแทนประโยชน์กับสังคม และผู้อื่น
อย่าอยากมาเป็นเทรดเดอร์เพียงเพราะ "เงิน" เพราะความโลภ
ความอยากได้เงินอย่างเดียวไม่สามารถนำพาให้เราผ่านช่วง ลำบาก
ช่วงที่เลวร้ายไปได้ เทรดเดอร์ระดับไหน ล้วนต้องเจอภาวะที่ดีและร้ายเสมอ
เจอปัญหา เจอโจทย์ เจอการแข่งขัน ที่เกิดตลอดเวลา
ดังนั้นคนจะอยู่รอดยาวๆในเส้นทางนี้ต้องมีมากกว่า "ความอยากรวย"
ต้องมี ความรักในงาน หลงไหลในการแข่งขัน ในการต่อสู้
โดยเฉพาะการสู้กับตัวเอง การเทรดเหมือนกับการเล่นกอลฟ์ คนที่ทำผลงานดีที่สุด
คือคนที่ทำผิดพลาดน้อยที่สุด ยิ่งคนไหนเรียนรู้จากความผิดพลาด
และไม่ผิดซ้ำ จำกัดความผิดพลาดให้น้อยได้มากเท่าไหร่
ผลงาน สุดท้าย มักออกมาดีเสมอ ผมเขียนบทความนี้ อยากจะแชร์มุมมองให้ รุ่นน้องได้อ่านนะครับ
อยากให้เห็นอีกมิติ ของชีวิตการเป็นเทรดเดอร์ หรือนักเก็งกำไร
Mr chaipat.
วันนี้มีโอกาสสนทนากับพี่ท่านหนึ่ง เขาบอกว่า เขาทำงานใน wallstreet ให้กองทุน hedgefund แห่งหนึ่งอยู่ ได้อ่าน blog แล้วชอบบทความเลย email แลกเปลี่ยนไอเดียการทำระบบเทรดกัน
ท่านนี้เก่งจริง รู้จริง ไม่มั่ว แถมไม่อวดตัวด้วย ชอบมากๆ
เขาถามคำถามนี้กับผมว่าทำไมไม่ออกมาลุยอเมริกา ที่นี้เงินเดือนดีนะ เขาบอกว่า ที่นี้คนขยันๆตั้งใจแบบน้อง นี่ไปได้รุ่งแน่นอน (เห็นตัวเลขส่วนแบ่งเขาทำได้แล้ว บอกได้เลยว่าสุดยอดจริงๆ)
ผมปฏิเสธไปเหมือนเดิมแหละ ใครชวนไปไหนปฏิเสธหมด 555
เพราะผมไม่ได้มุ่งหมั่นเอาดีทางสายอาชีพนี้ นิยามความสำเร็จคนเราไม่เหมือนกัน
สำหรับผมคือ ผมทำเพราะสนุก ผมรักที่จะทำ อยากตื่นมาทำ ผลงานดี พอเลี้ยงตัวเลี้ยงครอบครัวได้ก็จบ
ผมชอบอาชีพที่ทำมากได้มาก ไม่ขึ้นกับลูกค้า ไม่ขึ้นกับเจ้านาย (เจอปัญหากับพวกนี้มาเยอะ)
มีโจทย์ มีปัญหาให้ได้แก้ ได้ทดลองตลอด
เลยเลือกเดินเส้นทางนี้ ที่สำคัญถ้าวิชาแก่กล้ามากๆ ประสบการณ์มากพอ ผ่านสัก 2 หมี 3 กระทิง
พ้นหลัก 16 ปี อายุอานามขึ้นหลัก 4 คงผันตัวไปทำอย่างอื่นเป็นหลักในชีวิตแทน
ตอนนี้ขอลุย ขอฟิตสกิลด้านการเทรดของตัวเองให้ถึงที่สุดก่อน
การเทรด เป็นงานที่ทำเพื่อสร้างฐานของชีวิตระดับหนึ่ง
ผมไม่ได้ต้องการทำให้มัน ติด top ten หรือเป็นอันดับโลก ระดับประเทศไรแบบนั้น
ดังนั้น การเอาเวลา และร่างกาย ไปทำงาน หาเงินให้คนอื่น หรือเร่งสร้างเงินเยอะๆ สำหรับผม ผมมองว่ามันไม่จำเป็น
เวลาบนโลกมีแค่ หมื่นกว่าวัน อยากใช้ให้ตัวเองและครอบครัว มากกว่า
ผมชอบเขียน ชอบทดลอง ชอบเรียนรู้ ทำแล้วสนุกก็ทำกันต่อไป
ทุกวันนี้ มีอิสระ เทรดได้ หยุดได้ บริหารเวลาไปทำอย่างอื่นที่อยากทำได้
ถึง ฤดูกาลเขียนหนังสือ ก็หนีไปนอนโฮมเสตย์ หลายสัปดาห์นั่งเขียนหนังสือ
ไม่มีใคร มาบังคับ ไม่มียอดตายตัวต้องทำ ต้องเร่ง
และ key สำคัญของการเทรดคือ ทำยังไงก็ตามที่เทรดแล้วมีความสุข ไม่ใช่เทรดแล้วเครียด กังวลทั้งวัน ทั้งปี แบบนั้นเรียกว่า "ผิดทาง"
ผมใช้เวลาอยู่นาน กว่าเปลี่ยนจากแนวคิดตะวันตก มาเป็นตะวันออก หาระบบ หากลยุทธ์การเทรดที่มันเหมาะกับตัวเรา ไม่มากไม่น้อยเกินไป
เน้นความสมดุล เน้นการผ่อนหนักผ่อนเบา วันนี้ัมันเวริ์ค ทำให้ชีวิตมันช้าดี เป็นอิสระทางเวลา ทางการเงิน(ไม่ได้มีพันล้าน หมื่นล้านอะไรนะ แต่มีพอใช้พอเลี้ยงชีพไม่ลำบากเท่านั้น) ผมว่ามันเหมาะกับผมดี
ดังนั้นผมเทรด จึงไม่เร่ง โตเรื่อยๆมั่นคง ไม่เอายอดเงินไปอวดไปแข่งกับใคร
เพราะผมยึดหลักปรัญญาทางตะวันออก เน้นสมดุล ไม่ช้าไม่เร็ว แต่มั่นคง
ท่านอื่นๆ ที่เร่งจะสำเร็จ ทางสายอาชีพนี้มากๆ ผมว่าก็เป็นเรื่องดี ไม่ใช่เสียหาย
แต่แน่นอน มันต้องแลกมาเหมือนที่เราทราบว่างานสายนี้ เก่งแค่ไหน
ถึงจุดหนึ่ง ต้องผ่อน เพราะร่างกายและสภาวะจิตใจ มันเริ่ม รับกับความเครียดมากๆ
อาจจะมีผลต่อความสุขในชีวิตแน่นอน
ส่วนมากที่ผมเห็น คนที่อยู่สายนี้แล้ว ประสบความสำเร็จจริงๆ ไม่ใช่อยากรวย อยากได้เงินอย่างเดียว
มันเป็นเรื่องของ การอยากเอาชนะขีดจำกัดตัวเองมากกว่า เพราะยิ่งยาก ยิ่งทำไม่ได้
ถ้าคนมันบ้าพอ มันจะลุยต่อแบบสุด พอผ่านด่าน 1 ไปได้ก็ลุยด่าน 2 ด่าน 3 ต่อแบบสนุก
แต่ถ้าจะมาแบบ ชิวๆขำๆอยากรวยทางลัด ผมไม่เคยเห็นคนเหล่านี้จะผ่านด่านของจริงไปได้สักที
คนจำนวนมาเข้ามาตรงนี้เพราะภาพ สวยงามที่โฆษณา แต่เอาจริงผมบอกได้เลย ว่าไม่ง่ายและหินมากครับ
มันไม่ใช่แบบเท่ห์เหมือนที่ เราเห็นกัน บางโซลูชั่น บางเรื่อง กว่าจะรู้จะเข้าใจ อาจจะต้องอ่าน ต้องทำ
ลองผิดลองถูกกันหลายร้อยครั้ง ผิดทีก็เจ็บที บางทีเจ็บหนัก ไปหลายวันก็มี
ถ้าใครอยากจะก้าวไปอยู่ท๊อปของตลาด อนู้ฝั่งผู้ชนะ การพัฒนาตัวเองสำคัญ
เป็นสิ่งที่ต้องทำจริงจัง ไม่ใช่สร้างภาพ หรือทำการตลาด ประชานิยม
เพราะมันมากกว่า การซื้อๆขายๆไปวันๆ มันเป็นเรื่องการดึงศักยภาพของตัวเราออกมาใช้ทั้งหมด
รวมถึงการใช้สมอง ใช้ระบบคิดที่ต้องพัฒนาเรียบเรียงต่อยอดเป็นกลยุทธ์ในการแข่งขัน ในทุกวัน
ตรงนี้ จึงไม่ใช่ทุกคนทำได้
การลงมือทำ การรบในสนามจริง มันยากกว่าการพูด การเดา
หรือมานั่งอธิบานกราฟย้อนหลังที่เกิดแล้วจบแล้วหลายพันหลายหมื่นเท่า
นั่นแหละครับ ที่ผมจะบอกว่า มันเป็นงานเป็นอาชีพ ที่ไม่ง่ายเลย และไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้
หรือทำแล้วประสบความสำเร็จระยะยาว
------------------------------
เขียนมาถึงตรงนี้ มีเรื่องอีกมุมมาเหล่าให้ฟัง สำหรับน้องๆถวิลหาอยาก เดินเส้นทางนี้
ผมมีเรื่องราวของ 2 เทรดเดอร์ที่ขึ้นไปถึงยอด Peak แล้วเขาค้นพบสัจจะธรรมบางอย่าง
จนหันหลังให้วงการนี้ไป เลือกเส้นทางเดินอื่นๆ
คนแรกคือ Forrest Xiao คนนี้เก่งโครต อายุแค่ 25 แต่ผลงานเขาดีจริงๆเป็นที่จับวางให้เป็นดาวรุ่งของวอลสตรีท
จบสายประสาทวิทยา ที่ Washington University เข้า มาทำสายการเงินให้ Goldman Sachs ตำแหน่งนักวิเคราะห์
ผลงานดีจนโดนดึงไป เป็นนักลยุทธ์และบริหารพอร์ตให้กับ hedgefund ที่่ AQR Capital Management
และแล้ววันหนึ่งหลังจากทำงานหนักทุ่มเท เวลา แรงกายแรงใจสร้างเงิน
เขาค้นพบ ว่าชีวิตต้องการอะไร ที่มากกว่าเงิน เลยลาออก มาแบกเป้เดินทาง รอบโลก
และทำงานเป็น Creator และเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว
ทำด้านการวางแผนการท่องเที่ยว ที่ Splashee.com
ผมว่าเรื่องเงินคงไม่ใช่ปัญหา เพราะคนพวกนี้ เงินเก็บเหลือเฟือ บวกกับทักษะการลงทุน การเทรด เขาทำงานในดีกรีเบาๆ หาเงินใช้ ระหว่างเที่ยวได้แน่นอน แถมไม่ต้องมานั่งเครียดบริหารเงินหลายล้านเหรียญ ทำยอดทำเป้าให้ลูกค้าด้วย
คนที่สองคือ Jan Sramek สุดยอดเทรดแห่งวงการ forex เชื่อว่าเอ่ยชื่อคนส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินใช่ไหมครับ เพราะพวกนี้เขาเทรดเป็นอาชีพ ไม่ค่อยออกสื่อ หรือมาเดินสายโชว์ตัวตามงานเท่าไหร่
เขาถูกยกให้เป็น ดาวรุ่งที่อายุน้อย และมีฝีมือดีคนหนึ่งในสายการเทรดค่าเงิน
จบสายคณิตศาสตร์จาก London School of Economics
ตอนเรียนก็ได้ทุน รวมถึงทุนของ George Soros academic award
และจบมามีหลายบริษัทและสถาบันการเงิน เสนองานให้ทั้ง Goldman, BarCap, Deutsche Bank, UBS และ hedge fund อย่าง Marshall Wace and AKO Capital สุดท้าย เขาทำงานเป็น Proprietary Trader Goldman Sachs
Sramek เป็น FX trader ที่มีผลงานดี แต่ในวัย 25 ปีเขาก็ยื่นจดหมายลาออก หันหลังในวงการ ทำเอาช๊อคไปตามๆกัน เพราะก่อนหน้ามีหลายคนคาดว่าเขาจะเป็นเซียนระดับโลกในอนาคต เพราะเทียบจากฝีมือและอายุของเขา มีความได้เปรียบ คนอื่นๆมาก
ไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไร เทรดเดอร์ดาวรุ่งขั้นเทพ คนนี้ถึงลาออกจากงาน จากผลตอบแทนมหาศาล
แต่ส่วนใหญ่เชื่อกันว่า เขาคงอิ่มตัวจากการทำงานด้านนี้ และอยากมองหาชีวิตในอีกรูปแบบใหม่
Jan Sramek ไม่ได้ออกไปท่องเที่ยว แต่เขาไปทำบริษัท startup เป็นเว็บขายบริการ online training courses ซึ่งดูเหมือนจะลงตัวและตอบโจทย์ชีวิตของเขามากกว่าการเป็นเทรดเดอร์
--------------
อ่านมาตรง นี้ไม่ได้บอกนะครับ ว่าเลิกเป็นเทรดเดอร์กันเถอะ ไม่ใช่ 555
แต่จะบอกว่า การเป็นเทรดเดอร์อาชีพ มันมีหลาย level ที่เราสามารถจะออกแบบให้เหมาะกับ จริตและชีวิตเราได้ สำคัญต้อง รู้จักตัวเอง ว่าต้องการอะไร ต้องการชีวิตแบบไหน
อะไรคือ คำตอบ ของการมีชีวิตอยู่ บนโลกกลมๆใบนี้
ความสำเร็จสุดท้าย มันไม่ใช่ที่ตัวเงิน หรือชื่อเสียง หรือการขึ้นไปเป็น สุดยอดเป็น top เหนือคนอื่น
แต่ผมว่า ความสำเร็จ มันคือการที่เรา มีความสุขในชีวิต ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและอยากทำ
ได้ให้ ได้ตอบแทนประโยชน์กับสังคม และผู้อื่น
อย่าอยากมาเป็นเทรดเดอร์เพียงเพราะ "เงิน" เพราะความโลภ
ความอยากได้เงินอย่างเดียวไม่สามารถนำพาให้เราผ่านช่วง ลำบาก
ช่วงที่เลวร้ายไปได้ เทรดเดอร์ระดับไหน ล้วนต้องเจอภาวะที่ดีและร้ายเสมอ
เจอปัญหา เจอโจทย์ เจอการแข่งขัน ที่เกิดตลอดเวลา
ดังนั้นคนจะอยู่รอดยาวๆในเส้นทางนี้ต้องมีมากกว่า "ความอยากรวย"
ต้องมี ความรักในงาน หลงไหลในการแข่งขัน ในการต่อสู้
โดยเฉพาะการสู้กับตัวเอง การเทรดเหมือนกับการเล่นกอลฟ์ คนที่ทำผลงานดีที่สุด
คือคนที่ทำผิดพลาดน้อยที่สุด ยิ่งคนไหนเรียนรู้จากความผิดพลาด
และไม่ผิดซ้ำ จำกัดความผิดพลาดให้น้อยได้มากเท่าไหร่
ผลงาน สุดท้าย มักออกมาดีเสมอ ผมเขียนบทความนี้ อยากจะแชร์มุมมองให้ รุ่นน้องได้อ่านนะครับ
อยากให้เห็นอีกมิติ ของชีวิตการเป็นเทรดเดอร์ หรือนักเก็งกำไร
Mr chaipat.