วันก่อนนั่งฟังวิทยุ ท่าน พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)เล่าเรื่อง ชาดกเกี่ยวกับ การใช้ปัญญาเพื่อไปสู่ทางเป็นเศรษฐีท่านเล่าว่า
ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้า ได้เคยเกิดเป็นเศรษฐี ในเมือง พาราณสี ชื่อว่า จุลลกเศรษฐีเป็นหนุ่มที่มีความเฉลียวฉลาด รอบรู้มาก มีอยู่วันหนึ่ง...กำลังเดินทางไปเพื่อเฝ้าพระราชาระหว่างทาง มองไปมองมาเห็น...ซากหนูตาย ตัวหนึ่ง ถูกทิ้งไว้ข้างถนนท่านก็พูดขึ้นดัง ๆ ว่า...ไอ้ซากหนูตายตัวนี้อ่ะนะ ถ้าใครฉลาดมีปัญญา ก็สามารถเอามันมาทำประโยชน์ เป็นทุนประกอบอาชีพ ได้ใหญ่โตเป็นเศรษฐีได้เลยทีเดียว...
รอบ ๆ ตัวท่านก็คงมีคนอยู่เยอะแหละนะ...แต่ มีไอ้หนุ่มยากจนกิ๊กก๊อก ชื่อ...จูฬันเตวาสิกไอ้หมอนี่ ได้ยินถนัดเหมือนกับคนอื่นๆ แล้วก็คิด...ท่านเศรษฐี เป็นคนที่เฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง แถมยังเป็นคนที่พิเศษมาก.ก...ท่านพูดอะไรแล้ว ต้องไม่พลาดแน่...คิดได้แค่นั้น ก็รีบโดดไปตะครุบซากหนูตัวนั้น ก่อนคนอื่น
พอได้มาแล้ว มานั่งนึกว่าจะเอา ไอ้หนูตาย ตัวนี้ไปทำมาหากินยังไงดีหว่าสรุป ก็เอาไปเดินเร่ขาย...เร่ขายไอ้ซากหนูตาย ตัวเดียวนี่อ่ะนะก็ไม่มีใครซื้อซักคน เลยต้องเอามานั่งตีโจทก์ หากลยุทธใหม่ใครนะที่มันจะอยากได้ หนูตาย...คงจะมีแต่แมวเท่านั้น...เอ๊ะ ได้การเขาเลยเอาไปเสนอขายให้กับ พวกคนที่รักแมว ชอบเลี้ยงแมว...สุดท้ายก็ขายจนได้ได้เงินมา นิ๊ด.ด...หน่อย...ก็อีแค่หนูตายตัวเดียว ประมาณ 5 บาท
แล้วเขาก็เอาเงิน นิ๊ดเดียว ที่ได้ไปซื้อ งบน้ำอ้อย คือน้ำอ้อยที่เคี่ยวจนเป็นก้อนแล้วเอาไปละลายกับน้ำสะอาด ทำเป็น...น้ำหวานจากนั้น...ไปยืนดักพวกคนเก็บดอกไม้ ที่ไปเก็บดอกไม้จากในป่าพอเจอพวกนี้ก็บริการ น้ำดื่ม น้ำหวาน ฟรี...ฟรี...คนละถ้วย สองถ้วยคนมาเหนื่อยๆ ได้น้ำหวานชื่นใจก็แสนสุข อารมณ์ดี...ขอบอกขอบใจแล้วก็แบ่งดอกไม้ที่เก็บมาให้คนละกำมือ เป็นการตอบแทน
พอได้ดอกไม้สด ที่เพิ่งเก็บมา...คนอื่นเก็บก็เอาไปขายที่ตลาด...ก็ได้เงินเพิ่มมากขึ้นอีกหน่อยประมาณ 30 บาทหนุ่ม จูฬันเตวาสิก เอาดอกไม้ทั้งหมดนั้น ไปขายได้เงินมาอีกจำนวนหนึ่งในวันรุ่งขึ้น... เขาก็นำค่าดอกไม้นั้นซื้อน้ำอ้อยอีก แต่คราวนี้ตรงไปยังสวนดอกไม้เลยทีเดียว ให้พวกคนปลูกดอกไม้ ได้ดื่มน้ำอ้อยพวกคนปลูกดอกไม้จึงตอบแทนน้ำใจเขา ด้วยการให้ดอกไม้ ที่เก็บแล้ว คนละครึ่งกอ ในวันเดียวกันนั้น เขาจึงนำดอกไม้ไปขายหมดสิ้น ได้เงินมาเพิ่มขึ้นอีกมากพอสมควรทำหยั่งงี้หมุนวนไปเรื่อย ๆ ....เงินกองทุนก็เพิ่มมากขึ้นทุกทีจนเขาเองก็เริ่มรู้สึกว่า...เริ่มรวยแล้ว
วันหนึ่ง...มีฝนตกหนัก แถมมีพายุด้วย ทำให้ต้นไม้ในอุทยานของพระราชา หักโค่นทั้งกิ่งแห้ง กิ่งสด มากมายทำให้คนที่ดูแลเฝ้าสวนเหนื่อยใจเลยว่า จะทำยังไงต่อไป ต้องรีบเก็บกวาดให้เรียบร้อยซะด้วยเจ้าหนุ่ม จูฬันเตวาสิก หัวใสที่เริ่มจะรวยก็รีบไปคุยกับคนเฝ้าสวนทันทีแล้วยื่นข้อเสนอ ว่าจะบริการเก็บกวาดกิ่งไม้หักโค่นทั้งหลายให้ ฟรี..ฟรีขอแค่ไอ้กิ่งไม้ทั้งหลายนั้นก็พอ...คนเฝ้าสวนที่กำลังกลุ้มใจ ก็รีบโอเค ตกลงทันที
จากนั้น...เจ้าหนุ่มหัวใส ก็ขอแรงพวกเด็กวัยรุ่นแถวนั้น ให้ช่วยกันขนกิ่งไม้ออกมาทั้งหมดในเวลาแป๊ปเดียวเองเมื่อได้กิ่งไม้มามากมายแล้ว...เขาก็ไปหาคนที่ต้องการซื้อตกลงก็ไปได้ ช่างปั้นหม้อ ที่กำลังต้องการฟืนไปเผาพวก เครื่องปั้นดินเผาถือว่าขายได้ราคามาก แสดงว่าเข้าใจเรื่อง ธุรกิจ เป็นอย่างดี ทั้ง ดีมานด์ ซัพพลาย ครบถ้วนนอกจากได้เงินมากแล้ว ยังได้ขอแถม...ตุ่มน้ำ...มาด้วยอีกต่างหาก
แล้วก็จัดแจงเอา...ตุ่มน้ำ...ใส่น้ำดื่มเอาไว้ ในที่ใกล้ประตูพระนคร คอยบริการแก่คนเดินทาง และพวกขนฟืน หาบหญ้า ให้ได้ดื่มกินกันดับความกระหายน้ำ...ฟรี...ฟรีพวกผู้คนทั้งหลายที่ได้รับน้ำใจจาก หนุ่มจูฬันเตวาสิก ต่างก็ออกปาก ว่า...ท่านได้มีน้ำใจ มีพระคุณ แก่พวกเรามาก แล้วพวกเราจะช่วยกระทำอะไรให้แก่ท่านได้บ้าง? จูฬันเตวาสิก ยิ้มแล้วบอกว่า...เอาไว้ถ้ามีธุระแล้วค่อยรบกวนก็แล้วกัน
หลังจากนั้นแล้ว เขาก็เที่ยวไปข้างโน้นข้างนี้ ขยันตีสนิท ผูกสัมพันธ์กับคนอื่นไปทั่วผูกมิตรไว้กับผู้คนที่ทำงาน ทั้งทางบก และทั้งที่ทำงานทางน้ำ
จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง...คนทำงานทางบกผู้หนึ่ง ได้บอกแก่จูฬันเตวาสิกว่า...พรุ่งนี้ จะมีพ่อค้าม้านำเอาม้า 500 ตัวมายังเมืองนี้จากข่าวนี้เอง เขาจึงรีบไปบอกกับพวกคนหาบหญ้าทั้งหลายว่า...ขอเหมาหญ้า ที่มีแต่ยังไม่จ่ายเงินนะ...ขอเอาตัวอย่างมาหน่อยนึงก่อนคนหาบหญ้าทั้งหมดถึง 500 คน ต่างก็รับคำ...โอเคตกลงพากันนำหญ้าคนละกำมือ มาไว้ที่ประตูบ้านของ จูฬันเตวาสิก
พอวันรุ่งขึ้น เมื่อพ่อค้าม้าพาม้ามาถึงพระนครแล้ว แต่ไม่สามารถหาซื้อหญ้าให้ม้ากินได้เลย จนมาเจอกองหญ้าที่หน้าบ้าน จึงต้องขอซื้อหญ้า กับจูฬันเตวาสิก พ่อค้าม้านั้น ถึงได้หญ้าไปเลี้ยงม้าของตนเคสนี้ ทำกำไรอีกอักโขเลย...
ต่อจากนั้นอีก ๒-๓ วัน สหายผู้ทำงานทางน้ำคนหนึ่ง ได้มาแจ้งข่าวกับจูฬันเตวาสิกก่อนใคร ๆ ว่า...วันนี้ จะมีเรือสินค้าลำใหญ่มาจอดที่ท่าน้ำนี้เอง
ได้ฟังอย่างนั้น จูฬันเตวาสิก ก็คิดว่า ...เราน่าจะเอาเงินสักก้อน ไปเช่ารถ แล้วตระเตรียมพรรคพวกเพื่อนฝูงให้เพียบพร้อมไว้จากนั้นก็นำ รถและผู้คนตรงไปยังท่าเรือ ด้วยมาดของพ่อค้าใหญ่พอถึงแล้ว ก็เอาเงินที่มีไปมัดจำสินค้าบนเรือทั้งหมด กับเจ้าของเรือไว้จากนั้นก็มานั่งพัก กางเต็นท์ทำเป็นออฟฟิซ รออยู่ในที่ไม่ไกลจากเรือนัก โดยสั่งกับพรรคพวกทั้งหลายไว้ว่า...ถ้าหากมีพ่อค้าคนอื่นๆ มาหาเรา พวกท่านจงบอกประวิงเวลาไว้ ให้รอคอยเราก่อน
ในวันนั้น เมื่อบรรดาพ่อค้าในเมืองพาราณสีประมาณ 100 คนได้ข่าวว่าเรือสินค้ามาจอดที่ท่าแล้ว ก็รีบพากันมาที่ท่าโดยเร็ว เพื่อหมายจะมาซื้อสินค้าคงจะประมาณว่า...ใครเร็วใครได้แต่พอมาถึงแล้ว เจ้าของเรือกลับบอกว่า...พวกท่านมาช้าไปเสียแล้ว เพราะพ่อค้าใหญ่ชื่อ จูฬันเตวาสิก ได้มามัดจำสินค้าทั้งหมดไว้แล้ว ถ้ายังไงเสียพวกท่านก็ลองไปถาม ที่เต็นท์ออฟฟิซตรงโน้น ดูเองแล้วกัน
เหล่าพ่อค้าจึงพากันไปที่เต็นท์เพื่อหา จูฬันเตวาสิก แล้วทั้งหมดก็เจรจาตกลงทางการค้ากัน โดยพ่อค้าทั้ง 100 คนนั้น ซื้อสินค้าต่อจาก จูฬันเตวาสิก คนละ 8,000 บาทในการค้าขายคราวนั้น จูฬันเตวาสิกจึงได้เงินมากมายถึง 800,000 บาทพอกลับไปที่บ้านแล้ว ก็เกิดสำนึกขึ้นว่า ...เราควรเป็นคนกตัญญู รู้จักตอบแทนบุญคุณของผู้มีคุณต่อเราจึงได้เอาเงินครึ่งหนึ่งของตนที่มี นำไปมอบให้แก่ จุลลกเศรษฐี ที่บ้านทำเอา จุลลกเศรษฐี งุนงง สงสัยนัก ต้องสอบถามว่า...นี่พ่อหนุ่ม เธอทำอะไรจึงได้เงินนี้มา แล้วเอามาให้เราทำไมกันล่ะ
จูฬันเตวาสิก ตอบว่า...ได้ตั้งใจทำอย่างที่ท่านบอกไว้ จนกระทั่งได้เงินมามากมาย ภายใน 4 เดือนเท่านั้นเอง จึงอยากนำเงินครึ่งหนึ่งที่กระผมมีอยู่ มาตอบแทนบุญคุณของท่าน...แล้วบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่เรื่องซากหนูตาย จนถึงสินค้าที่ท่าเรือให้ทราบ
ฟังแล้ว จุลลกเศรษฐี ก็ชื่นชมในใจว่า ...เด็กหนุ่มคนนี้ทั้งขยันขันแข็ง ทั้งเฉลียวฉลาดหลักแหลม ทั้งเป็นคนดีมีน้ำใจงาม มีมิตรมาก เราน่าจะได้เขาไว้ เป็นลูกเขย?จึงยกเงินที่ได้มาให้แก่บุตรสาวของตน แล้วให้บุตรสาวแต่งงานเป็นคู่ครองกับจูฬันเตวาสิก จนกระทั่งเมื่อจุลลกเศรษฐีล่วงลับไปแล้ว จูฬันเตวาสิก จึงได้ครอบครองสมบัติทั้งหมดได้ชื่อว่า เป็นเศรษฐีใหญ่ อยู่ในพระนครพาราณสีนั้น
พระพุทธองค์ ได้ตรัสคาถาธรรม สำหรับชาดกเรื่องนี้ไว้ว่า?" คนผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด ย่อมตั้งตนได้ด้วยต้นทุนแม้น้อย ดุจคนก่อไฟกองน้อย ให้เป็นไฟ กองใหญ่ได้ ฉะนั้น "
ผมจำได้ว่า เคยฟังเรื่องนี้ เมื่อหลายปีก่อนตอนนั้นฟังแล้วชอบมากเอาเป็นแนวคิด ทำการค้า หาทุกช่องทาง ทำเงินใช้หนี้...ได้เยอะเลยอยากเล่าให้ฟังกันต่ออีกที...เผื่อบางคนอาจมีแรงบันดาลใจต้นทุน...หนูตายตัวเดียว ค้าขาย ลุยแหลก ภายใน 4 เดือนกลายเป็น เศรษฐี ได้ผมว่า ชาดกเรื่องนี้ น่าคิดนะ
อ้างอิงจาก
http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2010/11/Y9971894/Y9971894.html
ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้า ได้เคยเกิดเป็นเศรษฐี ในเมือง พาราณสี ชื่อว่า จุลลกเศรษฐีเป็นหนุ่มที่มีความเฉลียวฉลาด รอบรู้มาก มีอยู่วันหนึ่ง...กำลังเดินทางไปเพื่อเฝ้าพระราชาระหว่างทาง มองไปมองมาเห็น...ซากหนูตาย ตัวหนึ่ง ถูกทิ้งไว้ข้างถนนท่านก็พูดขึ้นดัง ๆ ว่า...ไอ้ซากหนูตายตัวนี้อ่ะนะ ถ้าใครฉลาดมีปัญญา ก็สามารถเอามันมาทำประโยชน์ เป็นทุนประกอบอาชีพ ได้ใหญ่โตเป็นเศรษฐีได้เลยทีเดียว...
รอบ ๆ ตัวท่านก็คงมีคนอยู่เยอะแหละนะ...แต่ มีไอ้หนุ่มยากจนกิ๊กก๊อก ชื่อ...จูฬันเตวาสิกไอ้หมอนี่ ได้ยินถนัดเหมือนกับคนอื่นๆ แล้วก็คิด...ท่านเศรษฐี เป็นคนที่เฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง แถมยังเป็นคนที่พิเศษมาก.ก...ท่านพูดอะไรแล้ว ต้องไม่พลาดแน่...คิดได้แค่นั้น ก็รีบโดดไปตะครุบซากหนูตัวนั้น ก่อนคนอื่น
พอได้มาแล้ว มานั่งนึกว่าจะเอา ไอ้หนูตาย ตัวนี้ไปทำมาหากินยังไงดีหว่าสรุป ก็เอาไปเดินเร่ขาย...เร่ขายไอ้ซากหนูตาย ตัวเดียวนี่อ่ะนะก็ไม่มีใครซื้อซักคน เลยต้องเอามานั่งตีโจทก์ หากลยุทธใหม่ใครนะที่มันจะอยากได้ หนูตาย...คงจะมีแต่แมวเท่านั้น...เอ๊ะ ได้การเขาเลยเอาไปเสนอขายให้กับ พวกคนที่รักแมว ชอบเลี้ยงแมว...สุดท้ายก็ขายจนได้ได้เงินมา นิ๊ด.ด...หน่อย...ก็อีแค่หนูตายตัวเดียว ประมาณ 5 บาท
แล้วเขาก็เอาเงิน นิ๊ดเดียว ที่ได้ไปซื้อ งบน้ำอ้อย คือน้ำอ้อยที่เคี่ยวจนเป็นก้อนแล้วเอาไปละลายกับน้ำสะอาด ทำเป็น...น้ำหวานจากนั้น...ไปยืนดักพวกคนเก็บดอกไม้ ที่ไปเก็บดอกไม้จากในป่าพอเจอพวกนี้ก็บริการ น้ำดื่ม น้ำหวาน ฟรี...ฟรี...คนละถ้วย สองถ้วยคนมาเหนื่อยๆ ได้น้ำหวานชื่นใจก็แสนสุข อารมณ์ดี...ขอบอกขอบใจแล้วก็แบ่งดอกไม้ที่เก็บมาให้คนละกำมือ เป็นการตอบแทน
พอได้ดอกไม้สด ที่เพิ่งเก็บมา...คนอื่นเก็บก็เอาไปขายที่ตลาด...ก็ได้เงินเพิ่มมากขึ้นอีกหน่อยประมาณ 30 บาทหนุ่ม จูฬันเตวาสิก เอาดอกไม้ทั้งหมดนั้น ไปขายได้เงินมาอีกจำนวนหนึ่งในวันรุ่งขึ้น... เขาก็นำค่าดอกไม้นั้นซื้อน้ำอ้อยอีก แต่คราวนี้ตรงไปยังสวนดอกไม้เลยทีเดียว ให้พวกคนปลูกดอกไม้ ได้ดื่มน้ำอ้อยพวกคนปลูกดอกไม้จึงตอบแทนน้ำใจเขา ด้วยการให้ดอกไม้ ที่เก็บแล้ว คนละครึ่งกอ ในวันเดียวกันนั้น เขาจึงนำดอกไม้ไปขายหมดสิ้น ได้เงินมาเพิ่มขึ้นอีกมากพอสมควรทำหยั่งงี้หมุนวนไปเรื่อย ๆ ....เงินกองทุนก็เพิ่มมากขึ้นทุกทีจนเขาเองก็เริ่มรู้สึกว่า...เริ่มรวยแล้ว
วันหนึ่ง...มีฝนตกหนัก แถมมีพายุด้วย ทำให้ต้นไม้ในอุทยานของพระราชา หักโค่นทั้งกิ่งแห้ง กิ่งสด มากมายทำให้คนที่ดูแลเฝ้าสวนเหนื่อยใจเลยว่า จะทำยังไงต่อไป ต้องรีบเก็บกวาดให้เรียบร้อยซะด้วยเจ้าหนุ่ม จูฬันเตวาสิก หัวใสที่เริ่มจะรวยก็รีบไปคุยกับคนเฝ้าสวนทันทีแล้วยื่นข้อเสนอ ว่าจะบริการเก็บกวาดกิ่งไม้หักโค่นทั้งหลายให้ ฟรี..ฟรีขอแค่ไอ้กิ่งไม้ทั้งหลายนั้นก็พอ...คนเฝ้าสวนที่กำลังกลุ้มใจ ก็รีบโอเค ตกลงทันที
จากนั้น...เจ้าหนุ่มหัวใส ก็ขอแรงพวกเด็กวัยรุ่นแถวนั้น ให้ช่วยกันขนกิ่งไม้ออกมาทั้งหมดในเวลาแป๊ปเดียวเองเมื่อได้กิ่งไม้มามากมายแล้ว...เขาก็ไปหาคนที่ต้องการซื้อตกลงก็ไปได้ ช่างปั้นหม้อ ที่กำลังต้องการฟืนไปเผาพวก เครื่องปั้นดินเผาถือว่าขายได้ราคามาก แสดงว่าเข้าใจเรื่อง ธุรกิจ เป็นอย่างดี ทั้ง ดีมานด์ ซัพพลาย ครบถ้วนนอกจากได้เงินมากแล้ว ยังได้ขอแถม...ตุ่มน้ำ...มาด้วยอีกต่างหาก
แล้วก็จัดแจงเอา...ตุ่มน้ำ...ใส่น้ำดื่มเอาไว้ ในที่ใกล้ประตูพระนคร คอยบริการแก่คนเดินทาง และพวกขนฟืน หาบหญ้า ให้ได้ดื่มกินกันดับความกระหายน้ำ...ฟรี...ฟรีพวกผู้คนทั้งหลายที่ได้รับน้ำใจจาก หนุ่มจูฬันเตวาสิก ต่างก็ออกปาก ว่า...ท่านได้มีน้ำใจ มีพระคุณ แก่พวกเรามาก แล้วพวกเราจะช่วยกระทำอะไรให้แก่ท่านได้บ้าง? จูฬันเตวาสิก ยิ้มแล้วบอกว่า...เอาไว้ถ้ามีธุระแล้วค่อยรบกวนก็แล้วกัน
หลังจากนั้นแล้ว เขาก็เที่ยวไปข้างโน้นข้างนี้ ขยันตีสนิท ผูกสัมพันธ์กับคนอื่นไปทั่วผูกมิตรไว้กับผู้คนที่ทำงาน ทั้งทางบก และทั้งที่ทำงานทางน้ำ
จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง...คนทำงานทางบกผู้หนึ่ง ได้บอกแก่จูฬันเตวาสิกว่า...พรุ่งนี้ จะมีพ่อค้าม้านำเอาม้า 500 ตัวมายังเมืองนี้จากข่าวนี้เอง เขาจึงรีบไปบอกกับพวกคนหาบหญ้าทั้งหลายว่า...ขอเหมาหญ้า ที่มีแต่ยังไม่จ่ายเงินนะ...ขอเอาตัวอย่างมาหน่อยนึงก่อนคนหาบหญ้าทั้งหมดถึง 500 คน ต่างก็รับคำ...โอเคตกลงพากันนำหญ้าคนละกำมือ มาไว้ที่ประตูบ้านของ จูฬันเตวาสิก
พอวันรุ่งขึ้น เมื่อพ่อค้าม้าพาม้ามาถึงพระนครแล้ว แต่ไม่สามารถหาซื้อหญ้าให้ม้ากินได้เลย จนมาเจอกองหญ้าที่หน้าบ้าน จึงต้องขอซื้อหญ้า กับจูฬันเตวาสิก พ่อค้าม้านั้น ถึงได้หญ้าไปเลี้ยงม้าของตนเคสนี้ ทำกำไรอีกอักโขเลย...
ต่อจากนั้นอีก ๒-๓ วัน สหายผู้ทำงานทางน้ำคนหนึ่ง ได้มาแจ้งข่าวกับจูฬันเตวาสิกก่อนใคร ๆ ว่า...วันนี้ จะมีเรือสินค้าลำใหญ่มาจอดที่ท่าน้ำนี้เอง
ได้ฟังอย่างนั้น จูฬันเตวาสิก ก็คิดว่า ...เราน่าจะเอาเงินสักก้อน ไปเช่ารถ แล้วตระเตรียมพรรคพวกเพื่อนฝูงให้เพียบพร้อมไว้จากนั้นก็นำ รถและผู้คนตรงไปยังท่าเรือ ด้วยมาดของพ่อค้าใหญ่พอถึงแล้ว ก็เอาเงินที่มีไปมัดจำสินค้าบนเรือทั้งหมด กับเจ้าของเรือไว้จากนั้นก็มานั่งพัก กางเต็นท์ทำเป็นออฟฟิซ รออยู่ในที่ไม่ไกลจากเรือนัก โดยสั่งกับพรรคพวกทั้งหลายไว้ว่า...ถ้าหากมีพ่อค้าคนอื่นๆ มาหาเรา พวกท่านจงบอกประวิงเวลาไว้ ให้รอคอยเราก่อน
ในวันนั้น เมื่อบรรดาพ่อค้าในเมืองพาราณสีประมาณ 100 คนได้ข่าวว่าเรือสินค้ามาจอดที่ท่าแล้ว ก็รีบพากันมาที่ท่าโดยเร็ว เพื่อหมายจะมาซื้อสินค้าคงจะประมาณว่า...ใครเร็วใครได้แต่พอมาถึงแล้ว เจ้าของเรือกลับบอกว่า...พวกท่านมาช้าไปเสียแล้ว เพราะพ่อค้าใหญ่ชื่อ จูฬันเตวาสิก ได้มามัดจำสินค้าทั้งหมดไว้แล้ว ถ้ายังไงเสียพวกท่านก็ลองไปถาม ที่เต็นท์ออฟฟิซตรงโน้น ดูเองแล้วกัน
เหล่าพ่อค้าจึงพากันไปที่เต็นท์เพื่อหา จูฬันเตวาสิก แล้วทั้งหมดก็เจรจาตกลงทางการค้ากัน โดยพ่อค้าทั้ง 100 คนนั้น ซื้อสินค้าต่อจาก จูฬันเตวาสิก คนละ 8,000 บาทในการค้าขายคราวนั้น จูฬันเตวาสิกจึงได้เงินมากมายถึง 800,000 บาทพอกลับไปที่บ้านแล้ว ก็เกิดสำนึกขึ้นว่า ...เราควรเป็นคนกตัญญู รู้จักตอบแทนบุญคุณของผู้มีคุณต่อเราจึงได้เอาเงินครึ่งหนึ่งของตนที่มี นำไปมอบให้แก่ จุลลกเศรษฐี ที่บ้านทำเอา จุลลกเศรษฐี งุนงง สงสัยนัก ต้องสอบถามว่า...นี่พ่อหนุ่ม เธอทำอะไรจึงได้เงินนี้มา แล้วเอามาให้เราทำไมกันล่ะ
จูฬันเตวาสิก ตอบว่า...ได้ตั้งใจทำอย่างที่ท่านบอกไว้ จนกระทั่งได้เงินมามากมาย ภายใน 4 เดือนเท่านั้นเอง จึงอยากนำเงินครึ่งหนึ่งที่กระผมมีอยู่ มาตอบแทนบุญคุณของท่าน...แล้วบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่เรื่องซากหนูตาย จนถึงสินค้าที่ท่าเรือให้ทราบ
ฟังแล้ว จุลลกเศรษฐี ก็ชื่นชมในใจว่า ...เด็กหนุ่มคนนี้ทั้งขยันขันแข็ง ทั้งเฉลียวฉลาดหลักแหลม ทั้งเป็นคนดีมีน้ำใจงาม มีมิตรมาก เราน่าจะได้เขาไว้ เป็นลูกเขย?จึงยกเงินที่ได้มาให้แก่บุตรสาวของตน แล้วให้บุตรสาวแต่งงานเป็นคู่ครองกับจูฬันเตวาสิก จนกระทั่งเมื่อจุลลกเศรษฐีล่วงลับไปแล้ว จูฬันเตวาสิก จึงได้ครอบครองสมบัติทั้งหมดได้ชื่อว่า เป็นเศรษฐีใหญ่ อยู่ในพระนครพาราณสีนั้น
พระพุทธองค์ ได้ตรัสคาถาธรรม สำหรับชาดกเรื่องนี้ไว้ว่า?" คนผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด ย่อมตั้งตนได้ด้วยต้นทุนแม้น้อย ดุจคนก่อไฟกองน้อย ให้เป็นไฟ กองใหญ่ได้ ฉะนั้น "
ผมจำได้ว่า เคยฟังเรื่องนี้ เมื่อหลายปีก่อนตอนนั้นฟังแล้วชอบมากเอาเป็นแนวคิด ทำการค้า หาทุกช่องทาง ทำเงินใช้หนี้...ได้เยอะเลยอยากเล่าให้ฟังกันต่ออีกที...เผื่อบางคนอาจมีแรงบันดาลใจต้นทุน...หนูตายตัวเดียว ค้าขาย ลุยแหลก ภายใน 4 เดือนกลายเป็น เศรษฐี ได้ผมว่า ชาดกเรื่องนี้ น่าคิดนะ
อ้างอิงจาก
http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2010/11/Y9971894/Y9971894.html