เมื่อเช้ามี email เข้ามาคุยเรื่องเกี่ยวกับการทำระบบเทรด และการใช้อินเคเตอร์ประเภท Price indicator พี่เขาพูดถึงการใช้อินดิเคเตอร์และนำตัวอย่างหน้าจอโปรแกรมกราฟหุ้นของเขามาให้ดู ทำเอาผมตกใจเพราะมันเยอะแยะหลากสี เต็มไปด้วยเส้นสายตางๆ แอบสงสัยว่าทำไมมันเยอะจัง
คุยไปคุยมาพบว่า พี่ท่านนี้ชอบเครื่องมือหลายตัวนำมาใช้รวมกันมันจะได้แม่นยำขึ้น!!! ถามต่อไปอีกว่าที่แม่นยำ พี่ทราบได้ยังไงเคยทดสอบ Forward Test และ Back Test ไหม??? แกบอกว่าไม่เคยที่รู้ว่าแม่นเพราะเสียเงินไปเรียน เซียนเขาสอนมา เอามาใช้มันก็ยังไม่ขาดทุน
ปัญหาใหญ่ของการใช้เทคนิคอลสำหรับ นักลงทุนที่ผมพบ คือพวกเราไม่เข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง เราเน้นที่ตัวเส้น เน้นที่การดูกราฟิก มากกว่าการทำความเข้าใจสมการ หรือโมเดลคณิตศาสตร์ แถมยังไม่เคยทดสอบและทดลองกับพฤติกรรมของหุ้นและจังหวะการเคลื่อนไหวของ ราคาก่อนใช้ เครื่องมือนั้นๆ มันจึงทำให้เกิด ความบกพร่อง ผิดพลาด และขาดประสิทธิภาพ
ยกตัวอย่างแค่ค่าเฉลี่ย ผมลองทดสอบถามเบื้องต้นว่าทำไมใช้ WMA ทำไมไม่ใช้ EMA SMA MMA TSMA ทำไมต้อง 50 วัน 20 วัน 200 วัน ทำไมไม่ใช่ 18 36 วัน คำถามเบื้องต้นเหล่านี้ ไม่ได้ถามเพื่อกวนตีนแต่อย่างไร แต่เป็นคำถามที่ถ้าเราคิดจะทำระบบเทรด ต้องตอบตัวเองให้ได้ ก่อน ไม่เช่นนั้นมันก็เปล่าประโยชน์
ตัวอย่างการผสม Price Indicator หลายตัวจนล้นจอ
ยิ่งเยอะยิ่งดี
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเทคนิคอล ที่ผมอยากยกมาเป็นตัวอย่างคือ การจับรวมมิตรยำเครื่องมือเทคนิคอลรวมพวก Price Indicator ต่างๆรวมกัน บนความเข้าใจผิดที่ว่ายิ่งเยอะ ยิ่งดียิ่งแม่น อะไรว่าดีเราก็นำมาใช้หมด ซึ่งมันไม่ถูกต้อง
ตัวอย่างระบบหนึ่งที่ผมเห็น เขาใช้ STO RSI MACD EMA CCI และ OBV ทั้งหมดทั้งมวล 6 ตัว สิ่งหนึ่งที่เจ้าของระบบมั่นใจคือ ถ้าทุกตัวให้สัญญาณซื้อขาย ความแม่นยำจะสูงมาก!!! ซื้อได้ ถ้าเรามองในแง่การทำงานของแต่ละโมเดลในระบบ เชิงคณิตศาสตร์
เงื่อนไข
Buy เมื่อ RSI7 < 30 , STO(8-4-4) < 50 , MACD(25-11-9) > Signal, EMA50 > Prev , CCI(14) > 100 และ EMA5(OBV) > OBV10
จากการทดสอบค่าสถิติแยกแต่ละเครื่องมือกับราคาหุ้น ย้อนหลัง ผลที่ได้
- เครื่องมือ STO มี %win = 35%
- เครื่องมือ RSI มี %win = 35%
- เครื่องมือ MACD มี %win = 53%
- เครื่องมือ EMA มี %win = 48%
- เครื่องมือ CCI มี %win = 44%
- เครื่องมือ OBV มี %win = 37%
กรณีทดสอบ ทั้งระบบ ด้วยเงือนไขรวม ผลที่ได้คือ %win = 37.4 %
ถ้าอธิบายตามหลัก คณิตศาสตร์การที่เราเชื่อมเงื่อนไขของทุกตัวเข้าด้วยกัน จะได้สัญญาณซื้อขายเมื่อ เงื่อนไขจริงทุกกรณี นั้นคือการเชื่อมด้วย AND Operation ดังนั้น ค่า %win ของระบบนี้ตามทฤษฏีคือ 35% หรือเท่ากับค่าความถูกต้อง(%win)ของตัวที่ต่ำที่สุด
และเมื่อทดลองทดสอบ Black Test และ Forward Test ระบบกับหุ้นตัวเดิมด้วยเงื่อนไขจากเครื่องมือทั้ง 6 ค่าความถูกต้องที่ได้ก็คือ 37.4 %
ดังนั้นต่อให้ใช้เครื่องมือการวิเคราะห์ที่มาก ก็ไม่ได้ช่วยให้ความแม่นยำ หรือ Wining Rate สูงขึ้นแต่อย่างไร
ยิ่งเยอะยิ่งช้า
นอกจากความถูกต้องไม่เพิ่มแล้วการ Mix ตัว Price indicator มากๆเข้าด้วยกัน ยังทำให้เกิดการ Lacking โดยความช้า จะเท่ากับ ตัวที่ Lag ที่สุดคาบการแกว่งกว้างสุดนั้นเอง
จริงเรื่องยิ่งเยอะยิ่งดี ไม่เฉพาะแค่เพียงการทำระบบเทรด แต่รวมไปถึงพวก ระบบสแกน ที่นิยม สแกนหุ้นแจกกันด้วย เหล่านี้บางแหล่งมักใช้ เงื่อนไขที่ซับซ้อนปนกันหลายเครื่องมือโดยไปเข้าใจผิด ว่าจะแม่นยำ และยิ่งไปใช้บน Timeframe ระดับวัน ทำให้นอกจากไม่แม่นมากขึ้น แล้วยังช้าไปอีก
ถ้าหุ้นนั้น ไม่มีแนวโน้มที่แข็งแรง ส่วนใหญ่ เมือ่นำไปใช้ซื้อ โดยไม่ดูระดับราคาปัจจุบัน หรือไปเจอหุ้น sideway โอกาสจะขาดทุนก็จะมีสูงไปอีก
ดังนั้นลองทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ เสียใหม่ การใช้ Price indicator ต้องเข้าใจสมการ เข้าใจที่มาที่ไป เลือกใช้ให้เหมาะกับ สภาวะพฤติกรรมการเคลื่อนที่ของสินค้าที่จะเทรด ถ้าจะเลือกใช้ไม่ควรจับประเภทอินดิเคเตอร์ มายำข้ามกลุ่มกับ พวกที่ Leading indicator ควรใช้ร่วมกับ พวก Momentum Indicator ส่วนพวกประเภทเดียวกับ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ซ้ำกันให้มันช้าไปอีก
อย่างนั้นกี่ตัวดี
ถ้าถามว่าใช้เครื่องมือกี่ตัวดี ในเงื่อนไขการให้จังหวะซื้อขาย ถ้าถามผมก็ตอบเลยว่า อย่างมากไม่ควรเกิน 3 กำลังดี แต่กี่ตัวไม่สำคัญ เท่าใช้เครื่องมือถูกกับ พฤติกรรมของหุ้นหรือเปล่า
เราไม่จำเป็นต้องมีระบบเดียว Up Trend , Down Trend และ Sideway ทำระบบให้มีกลยุทธเฉพาะ ไปได้อีก ที่สำคัญการทำระบบให้เกิดประสิทธิภาพ ควรศึกษาพฤติกรรมของสินค้าจะเทรด เช่น หุ้นแต่ละตัว, tfex ,Gold เป็นต้น ให้ถ่องแท้ และหาเครื่องมือให้สัญญาณ รวมถึงกลยุทธการซื้อขายให้เหมาะสม
ที่สำคัญ การที่เราเห็นกราฟของฝรั่งหรือพวกเทรดเดอร์อาชีพมีเส้นเยอะ อย่าไปเข้าใจว่าเขาใช้เยอะ ส่วนใหญ่พวกนี้เขาจะใช้ Indicator บางประเภท เป็นตัว SetUp หรือเป็นตัว Define Zone ในการเทรด ก่อนจะใช้ระบบเทรด เพื่อเข้าซื้อขาย อีกครั้งหนึ่ง
สรุป
สรุปอีกครั้งการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคอล เพื่อหาจังหวะซื้อขาย ไม่ง่ายอย่างที่หลายคนคิด ไม่เช่นนั้นรวยกันหมดแล้ว มันไม่ใช่แค่การอ่านเส้นตัดกัน ก็จบ มันเป็นเรื่องของการเข้าใจจังหวะ ทิศทาง สังเกตพฤติกรรมของหุ้น รวมไปถึงการฝึกให้เรามีวินัย ในการยึดกับระบบเงื่อนไขที่วางแผนไว้
ทุกอย่างมันอยู่บนหลักความน่าจะเป็น ไม่ใช่ใช้เครื่องมือเทคนิคอล เพื่อเดาอนาคต ดังนั้นถ้าใช้ศาสตร์ด้านนี้ จงมองให้เป็นวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ถ้าใช้งานไม่สำเร็จจงโทษตัวเอง อย่าไปโทษเครื่องมือ หรือกล่าวโทษว่าเรื่องการวิเคราะห์เทคนิคอลไม่ดี ห่วยและใช้ไม่ได้จริง