สืบเนื่องจากเมื่อวานผมโพสคลิปหนังสั้น การลาออกครั้งสุดท้าย ของการลาออกครั้งสุดท้าย ของเต้ย ภาณุมาศ ทองธนากุล ในเพจ ทำให้มีคนสนใจกันเป็นจำนวนมาก มีอีเมลเข้ามาถึง 4 ฉบับถามว่าถ้าจะลาออกมาแล้ว หารายได้จากการลงทุนในตลาดหุ้น ทดแทนเงินเดือน จะได้ไหม เพราะเบื่อกับงานประจำงานที่ทำมาก จนอยากจะลาออกมาวันนี้พรุ่งนี้แล้ว ยิ่งพอดูคลิปยิ่งเกิดอารมณ์ร่วม ผมขออนุญาติตอบอีเมลทั้งหมดในบทความนี้เลยแล้วกันนะครับ ผมจะตอบจากมุมมองคนที่หากินจากตลาดหุ้นมาหลายปีแล้วกัน เพื่อให้เพื่อนๆได้เห็นภาพในอีกมุมหนึ่ง
คนที่ดูคลิปหนังสั้น ที่ถามเข้ามาเกือบทั้งหมดสนใจตลาดหุ้น เพราะเข้าใจว่ามันสร้างรายได้ ให้เรารายเดือน โดยที่เราไม่ต้องทำทำงานประจำ แบบคำพูดเท่ห์ๆว่าให้เงินทำงาน ประมาณนั้น แต่หลายคนดูคลิปแล้ว ตีความหมายของหนังผิด(ผมเชื่อว่าในหนังเขาไม่ได้ยุให้เราลาออกมาจากงานแบบตายดาบหน้าหรอกครับ) ในความเป็นจริงมันไม่ง่ายแบบนั้นครับ ไม่เช่นนั้นเศรษฐีเต็มตลาดหุ้นไปหมดแล้ว ผมยังยืนว่าการหาเงินในตลาดหุ้นไม่ง่ายขนาดนั้น
ทำกำไรที่ว่ายาก ทำให้ได้ทุกเดือนยากกว่า
โดยเฉพาะจะต้องหาเงินแบบต่อเนื่อง มั่นคง แบบเงินเดือน ที่โอนเข้าบัญชีทุกๆสิ้นเดือนนั้น ยิ่งยากใหญ่ เพราะตลาดหุ้นมีความเสี่ยง ไม่มีใครมากันรันตีให้เราหรอกครับว่า จะได้กำไรทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี ที่สำคัญ ไม่ใช่มองแต่ได้กำไรนะ คุณยังมีโอกาสขาดทุน ได้ไม่น้อย จากความผันผวนของตลาดหุ้น ดังนั้นคิดว่าซื้อๆขายๆก็จะได้เงินง่ายๆ อันนี้เลิกฝันเถอะครับ
เงินต้นก้อนใหญ่
ประเด็นต่อมาที่มีในอีเมลทุกฉบับคือ ลงทุนในหุ้นแล้วให้่ผลตอบแทนมากเทียบเท่ากับเงินเดือนได้หรือไม่??? ท่านที่ถามมาทำงานมา 5 ปีเงินเดือน 2.5 หมื่น แต่ผมคิดตัวเลขง่ายๆ ถ้าค่าครองชีพขั้นต่ำของคนทั่วไป ค่ากิน ค่าอยู่ ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน เอาแบบสบายๆประมาณเดือนละ 1 หมื่นบาท การจะทำกำไรให้ได้เดือนละ 1 หมื่นบาท นั้นหมายความ ต้องมีเงินลงทุนที่มากๆพอสมควร นำตัวเลขกลมๆมาคิดให้ดู
สมมติ เงินลงทุน 50,000 บาท ผลตอบแทนคือ 20% ต่อเดือน
สมมติ เงินลงทุน 100,000 บาท ผลตอบแทนคือ 10% ต่อเดือน
สมมติ เงินลงทุน 500,000 บาท ผลตอบแทนคือ 5% ต่อเดือน
สมมติ เงินลงทุน 1,000,000 บาท ผลตอบแทนคือ 1% ต่อเดือน
คำถามที่ตามมาคือ ท่านมีเงินต้นมากขนาดนั้นหรือไม่??? ปกติถ้าเป็นคนชั้นกลาง ผ่อนลด ผ่อนบ้าน ผ่อนคอนโด ผ่อนมือถือ โอกาสจะหาเงินเก็บมากขนาดหลักแสนนั้นก็ยากน่าดู เพราะด้วยภาระค่าใช้จ่ายที่มาก โอกาสจะออมเงินยิ่งยากไปใหญ่ บวกกับ ถ้าลักษณะนิสัยการใช้ชีวิต ติดหรู ชอบเดินห้าง สปอยหญิง กินร้านอาหารแพงๆ โอกาสที่จะออมให้มีเงินลงทุนก้อนใหญ่ขนาดนั้นยิ่งยากไปอีก ถ้าคิดจะกู้มาลงทุน ละก็แนะนำว่าอย่าเลยครับ มือใหม่จะเอาเงินมาละลายให้เสือสิง กระทิงแรดในตลาดหุ้นเปล่าๆ ดีไม่ดีนอกจากไม่ได้เงินผลตอบแทนแล้ว จะมีหนี้่ก้อนใหม่ให้ปวดหัวอีกต่างหาก
120% ต่อปีทำได้จริงหรือ
ถ้าคิดว่ามีเงิน หลักแสน มาลงทุนได้ แต่การทำกำไรได้ 10% ต่อเดือนหรือ 120% ต่อปี แม้เจ้าทำได้จริง นี่คงรวยมหาศาลไปเลย เพราะในความเป็นจริงยิ่งเป็นไปได้ยาก แม้นักลงทุนหรือนักเก็งกำไรระดับโลก ยังทำได้แต่ 30-40% ต่อปีเอง ไม่ใช่เขาเหล่านั้นไม่เก่งนะ แต่การเข้าไปหากำไรก้อนใหญ่ขนาดนั้น มันไม่ต่างอะไรกับการวิ่งเก็บเหรียญบนทางด่วน ที่มีแต่ความเสี่ยงเต็มไปหมด โอกาสจะโดนแจ๊คพ๊อตหมดตัวเมื่อไหร่ก็เกิดได้เสมอ ดังนั้นวิธีคิดที่ถูกคือ การหากำไรพอเพียงและจำกัดความเสี่ยงให้ต่ำ ดังนั้นถ้าจะหากำไร 120% ต่อปี นั้นจึงเป็นเรื่องที่เกิดได้ยาก ยิ่งต้องได้ทุกปี ยิ่งยากไปใหญ่ จุดจบของคนที่เดินทางนี้ ไม่โดนหลอกไปลงทุนออฟชั่นอเมริกา ไปอบรมหลักสูตรไสยศาสตร์การเงิน ก็หมดตัวจากหุ้นร้อน จากวอแรนท์เน่าในตลาด อยู่ดี
ดอกเบี้ยทบต้น
นักลงทุนในตลาดแบบให้เงินทำงาน เขาไม่ได้คิดแบบจะชักเงินมาใช้จ่ายรายเดือนนะครับ ส่วนใหญ่เพื่อเลี้ยงให้พอร์ตโต เพื่อสร้าง leverage ของเงินทุนในการทำกำไร เขาต้องไม่ถอนเงินออกมาใช้ ปล่อยให้ดอกเบี้ยทบต้น ให้งอกเงย กำไรผลตอบแทนทีได้ ทั้งจากการขายหุ้นทำกำไร หรือปันผล ก็มักจะเก็บสะสม เป็นเงินลงทุนครั้งต่อๆไป กว่าจะรวย จะมีผลตอบแทนมาเพียงพอที่ไม่ต้องทำงาน หรือเป็นอิสรภาพทางการเงิน เขาต้องใช้เวลาครับ ไม่ใช่นำเงินมาใส่ตลาดหุ้น แล้วก็ชิวมีเงินเดือนใช้เลย
กรงทองไปสู่กรงเหล็ก
ปัญหาที่ตามมาเมื่อท่านลาออกจากงาน แล้วมาหมกหมุ่นในตลาดหุ้น มุ่งจะรวยไวๆ มุ่งจะหาเงินเยอะๆ ก็จะกลายเป็นว่าอิสรภาพที่ตั้งใจไว้หายไป มาติดกับการเฝ้าหุ้น ลุ้นหุ้น หาหุ้นเด็ด เคล็ดลับ ติดตามเซียน ติดตามกูรู วิ่งเข้าหาทางลัดเพื่อรวยๆเร็ว สุดท้ายก็ไปไม่ถึงฝั่ง ถึงแม้จะไม่ต้องทำงานออกจากกรงทองที่มีเงินเดือนใช้ ท่านก็จะเข้ามาอยู่กรงเหล็ก ที่ต้องลุ้นกำไรแบบช๊อตต่อช๊อตแทน อิสรภาพที่โหยหาก็หายไปอยู่ดี
อย่างนั้นทำงานอย่างเดิมดีกว่า
ไม่ใช่ครับ!!! ที่เขียนมาเพราะไม่อยากให้ฝัน ให้เคลิ้มไปตามคำพูดสวยหรู แต่ผมเองสนับสนุนให้ มนุษย์เงินเดือนออกมาตามฝัน ไม่ต้องทำทำงานที่ไม่ได้รัก ตลอดชีวิต แต่อย่าให้คิดให้วางแผนมากๆ เปรียบเหมือนกับคุณกำลังแหกคุกอัลคาทราซ ที่มีกำแพงหนา ชีวิตมนุษย์เงินเดือนมันเป็นกรอบ เป็นขนบในระบบทุนนิยม ที่เราทำตามกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อ รุ่นแม่ ถ้าบ้านไม่รวย พ่อแม่ไม่สปอยเงินให้อย่าไปคิดว่าจะออกมาง่ายๆ ต้องใช้เวลาใช้การทุ่มเทอย่างมาก ผมมี Road Map คราวๆ 6 ขั้นตอนให้ดูดังนี้
1. วางเป้าหมายเชิงรุก
ออกมาจากงานเพื่อทำอะไร อะไรคิดสิ่งที่เราต้องการจะทำ ถ้ายังคิดไม่ออก อย่าเพิ่งลาออกมา พยายามใช้เวลาในการหาเป้าหมายสิ่งที่ชอบที่อยากทำ อาจจะยังไม่ต้องใช่เลย สัก 2-3 อย่างก่อน ศึกษาให้ดี วางแผนที่จะทำ ให้พร้อม เพื่อไม่ให้ลาออกมา แล้วมาเคว้งไร้จุดหมาย ตื่นสาย นั่งหายใจทิ้งอยู่บ้านไปวันๆ ทำแบบนั้น เสียเวลา คุณค่าของตัวเองในสายตาคนอื่นๆ ก็ลดหายไป ความทุกข์ก็จะมาเยือนท่านทันที
2. วางเป้าหมายทางการเงิน
วางแผนการใช้จ่ายเงินว่า 1 เดือนต้องใช้เงินเท่าไหร่ และมองหาแหล่งรายรับ ที่มาชดเชยหลังออกจากงาน ถ้าสนใจ รายได้จากการลงทุนในหุ้น ต้องคิดให้ออกว่า เรามีจะต้องมีเงินลงทุนเท่าไหร่ ต้องการเดือนละเท่าไหร่ ปีละเท่าไหร่ รับความเสี่ยงได้แค่ไหน
3. ออมเงิน
เพราะถ้าคิดจะเล่นกับ passive income จากการลงทุนในตลาดหุ้น เราต้องอดออมเงินเพื่อสร้างเงินทุนสำหรับซื้อหุ้น แน่นอนว่าถ้าไม่มีใครออกทุนให้ ต้องใช้เวลาระหว่างทำงานนี่แหละครับ จงกัดฟันทด อดออมเก็บเงินให้ได้มากๆอย่างน้อยเดือนละ 3000-5000 บาท ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก เลิกซื้อเสื้อผ้า ของใช้ไอที โทรศัพท์รุ่นใหม่ เลิกกินหรู เลิกปาร์ตี้ทุกวัน
4. ศึกษาหาความรู้การลงทุน
ระหว่างทำงานประจำ สละเวลานอนดูละครหลังข่าว ลดเวลาเล่นเฟสบุ๊ค วันละชั่วโมงหาความรู้จากหนังสือ จากเว็บไซต์เรื่องการลงทุนมากๆ เท่าที่จะทำได้ เมื่อได้โมเดลแนวทางเบื้องต้นแล้ว ลองทำความคุ้นเคยในการลงทุน ด้วยการสมัครเปิดพอร์ตจำลอง click2win กับ settrade เพื่อทดลองซื้อขายหุ้น ลงทุนตามแนวทางที่เราศึกษามาก่อน
5. ลงทุนระหว่างทำงาน
เมื่อชำนาญ ระดับหนึ่ง สัก 3-6 เดือนแล้ว ลองนำเงินออมที่มีใน ข้อ 3 มาเปิดพอร์ตลงทุนจริงๆ เน้นนะครับลงทุนระยะยาวหรือเก็งกำไรระยะกลาง อย่าไปเล่นสั้น เล่นรายวัน อย่าไปโลภหวังรวยเร็ว เพราะท่านยังต้องทำงานประจำอยู่ พยายามเลือกรูปแบบการลงทุนหรือการเก็งกำไร ที่ไม่ต้องติดตามราคาทั้งวัน และใช้เวลาในการหาข้อมูลมากเกินไปแบบมืออาชีพ เพราะเรายังมีภาระงานประจำอยู่ การจัดสมดุลต้องทำให้ดีอย่าให้เสียงานหลัก
6. ประเมินศักย์ภาพผลตอบแทน
ลงทุนในตลาดหุ้นสัก 1-2 ปี ลองประเมินศักย์ภาพในการลงทุน ผลตอบแทนรายปีที่ได้ ทั้งจากการซื้อขายหุ้นกินส่วนต่างราคา และจากเงินปันผล เพื่อประเมินความน่าจะเป็นในการ อยู่รอดจากการสร้างกระแสเงินสด จากการลงทุน ถ้าเอาอยู่ อยู่รอด พอมีความน่าจะเป็น cover รายจ่ายเราได้ ก็ค่อยขยับขยาย ลาออกมาอีกที
เห็นไหมครับ มีขั้นตอน ปฏิบัติ ผมเองก็ใช้ขั้นตอนแบบนี้ ก่อนออกมาเป็นนักลงทุนหรือนักเก็งกำไร เต็มตัว วันนี้แม้จะยังไม่ประสบความสำเร็จมีเงิน ร้อยล้าน พันล้าน แต่ผมก็มีกำไรเติบโตต่อเนื่องอยู่รอดมา 7 ปีแล้ว มันทำให้มั่นใจว่าอนาคต เราไม่อดตายหรือหมดตัวแน่นอน มีเวลาไปทำงานไปทำธุรกิจที่เราตั้งใจจะทำ
ขั้นตอนที่ผมเสนอมาให้ท่านออกตามฝัน ไปหาอิสรภาพ มันใช้เวลาครับ 2-3 ปี แต่เชื่อเถอะว่าถ้าวันนี้คุณเริ่มตั้งใจทำ แม้จะนานแต่มันคุ้มค่าที่จะลอง อย่าไปด่วนได้หักดิบ ลาออกมาแบบไม่มีแผน ไม่มีทิศทาง ปัจจุบันยุครัฐบาลประชานิยม เงินเดือนขั้นต่ำ 15000 ปริญญาตรี ล้นตลาด ยุคที่การงานลาออกจากงานนั้นง่าย แต่กลับเข้าไปใหม่ยาก ยิ่งคุณมีอายุมาก การเปลี่ยนงานยิ่งยากเป็นทวีคูณ แน่นอนว่านั้นอาจจะเป็นการลาออกครั้งสุดท้าย เพราะคุณจะไม่มีงานประจำที่ดีตรงตามวุฒิได้ทำตลอดไป ปิดท้ายด้วยคำคมแง่คิดดีๆจากคุณ ดัง ตฤณว่า
"โดดทีละ 10 ขั้นคือความฝัน ก้าวทีละขั้น คือ ของจริง"
คนที่ดูคลิปหนังสั้น ที่ถามเข้ามาเกือบทั้งหมดสนใจตลาดหุ้น เพราะเข้าใจว่ามันสร้างรายได้ ให้เรารายเดือน โดยที่เราไม่ต้องทำทำงานประจำ แบบคำพูดเท่ห์ๆว่าให้เงินทำงาน ประมาณนั้น แต่หลายคนดูคลิปแล้ว ตีความหมายของหนังผิด(ผมเชื่อว่าในหนังเขาไม่ได้ยุให้เราลาออกมาจากงานแบบตายดาบหน้าหรอกครับ) ในความเป็นจริงมันไม่ง่ายแบบนั้นครับ ไม่เช่นนั้นเศรษฐีเต็มตลาดหุ้นไปหมดแล้ว ผมยังยืนว่าการหาเงินในตลาดหุ้นไม่ง่ายขนาดนั้น
โดยเฉพาะจะต้องหาเงินแบบต่อเนื่อง มั่นคง แบบเงินเดือน ที่โอนเข้าบัญชีทุกๆสิ้นเดือนนั้น ยิ่งยากใหญ่ เพราะตลาดหุ้นมีความเสี่ยง ไม่มีใครมากันรันตีให้เราหรอกครับว่า จะได้กำไรทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี ที่สำคัญ ไม่ใช่มองแต่ได้กำไรนะ คุณยังมีโอกาสขาดทุน ได้ไม่น้อย จากความผันผวนของตลาดหุ้น ดังนั้นคิดว่าซื้อๆขายๆก็จะได้เงินง่ายๆ อันนี้เลิกฝันเถอะครับ
เงินต้นก้อนใหญ่
ประเด็นต่อมาที่มีในอีเมลทุกฉบับคือ ลงทุนในหุ้นแล้วให้่ผลตอบแทนมากเทียบเท่ากับเงินเดือนได้หรือไม่??? ท่านที่ถามมาทำงานมา 5 ปีเงินเดือน 2.5 หมื่น แต่ผมคิดตัวเลขง่ายๆ ถ้าค่าครองชีพขั้นต่ำของคนทั่วไป ค่ากิน ค่าอยู่ ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน เอาแบบสบายๆประมาณเดือนละ 1 หมื่นบาท การจะทำกำไรให้ได้เดือนละ 1 หมื่นบาท นั้นหมายความ ต้องมีเงินลงทุนที่มากๆพอสมควร นำตัวเลขกลมๆมาคิดให้ดู
สมมติ เงินลงทุน 50,000 บาท ผลตอบแทนคือ 20% ต่อเดือน
สมมติ เงินลงทุน 100,000 บาท ผลตอบแทนคือ 10% ต่อเดือน
สมมติ เงินลงทุน 500,000 บาท ผลตอบแทนคือ 5% ต่อเดือน
สมมติ เงินลงทุน 1,000,000 บาท ผลตอบแทนคือ 1% ต่อเดือน
คำถามที่ตามมาคือ ท่านมีเงินต้นมากขนาดนั้นหรือไม่??? ปกติถ้าเป็นคนชั้นกลาง ผ่อนลด ผ่อนบ้าน ผ่อนคอนโด ผ่อนมือถือ โอกาสจะหาเงินเก็บมากขนาดหลักแสนนั้นก็ยากน่าดู เพราะด้วยภาระค่าใช้จ่ายที่มาก โอกาสจะออมเงินยิ่งยากไปใหญ่ บวกกับ ถ้าลักษณะนิสัยการใช้ชีวิต ติดหรู ชอบเดินห้าง สปอยหญิง กินร้านอาหารแพงๆ โอกาสที่จะออมให้มีเงินลงทุนก้อนใหญ่ขนาดนั้นยิ่งยากไปอีก ถ้าคิดจะกู้มาลงทุน ละก็แนะนำว่าอย่าเลยครับ มือใหม่จะเอาเงินมาละลายให้เสือสิง กระทิงแรดในตลาดหุ้นเปล่าๆ ดีไม่ดีนอกจากไม่ได้เงินผลตอบแทนแล้ว จะมีหนี้่ก้อนใหม่ให้ปวดหัวอีกต่างหาก
120% ต่อปีทำได้จริงหรือ
ถ้าคิดว่ามีเงิน หลักแสน มาลงทุนได้ แต่การทำกำไรได้ 10% ต่อเดือนหรือ 120% ต่อปี แม้เจ้าทำได้จริง นี่คงรวยมหาศาลไปเลย เพราะในความเป็นจริงยิ่งเป็นไปได้ยาก แม้นักลงทุนหรือนักเก็งกำไรระดับโลก ยังทำได้แต่ 30-40% ต่อปีเอง ไม่ใช่เขาเหล่านั้นไม่เก่งนะ แต่การเข้าไปหากำไรก้อนใหญ่ขนาดนั้น มันไม่ต่างอะไรกับการวิ่งเก็บเหรียญบนทางด่วน ที่มีแต่ความเสี่ยงเต็มไปหมด โอกาสจะโดนแจ๊คพ๊อตหมดตัวเมื่อไหร่ก็เกิดได้เสมอ ดังนั้นวิธีคิดที่ถูกคือ การหากำไรพอเพียงและจำกัดความเสี่ยงให้ต่ำ ดังนั้นถ้าจะหากำไร 120% ต่อปี นั้นจึงเป็นเรื่องที่เกิดได้ยาก ยิ่งต้องได้ทุกปี ยิ่งยากไปใหญ่ จุดจบของคนที่เดินทางนี้ ไม่โดนหลอกไปลงทุนออฟชั่นอเมริกา ไปอบรมหลักสูตรไสยศาสตร์การเงิน ก็หมดตัวจากหุ้นร้อน จากวอแรนท์เน่าในตลาด อยู่ดี
ดอกเบี้ยทบต้น
นักลงทุนในตลาดแบบให้เงินทำงาน เขาไม่ได้คิดแบบจะชักเงินมาใช้จ่ายรายเดือนนะครับ ส่วนใหญ่เพื่อเลี้ยงให้พอร์ตโต เพื่อสร้าง leverage ของเงินทุนในการทำกำไร เขาต้องไม่ถอนเงินออกมาใช้ ปล่อยให้ดอกเบี้ยทบต้น ให้งอกเงย กำไรผลตอบแทนทีได้ ทั้งจากการขายหุ้นทำกำไร หรือปันผล ก็มักจะเก็บสะสม เป็นเงินลงทุนครั้งต่อๆไป กว่าจะรวย จะมีผลตอบแทนมาเพียงพอที่ไม่ต้องทำงาน หรือเป็นอิสรภาพทางการเงิน เขาต้องใช้เวลาครับ ไม่ใช่นำเงินมาใส่ตลาดหุ้น แล้วก็ชิวมีเงินเดือนใช้เลย
กรงทองไปสู่กรงเหล็ก
ปัญหาที่ตามมาเมื่อท่านลาออกจากงาน แล้วมาหมกหมุ่นในตลาดหุ้น มุ่งจะรวยไวๆ มุ่งจะหาเงินเยอะๆ ก็จะกลายเป็นว่าอิสรภาพที่ตั้งใจไว้หายไป มาติดกับการเฝ้าหุ้น ลุ้นหุ้น หาหุ้นเด็ด เคล็ดลับ ติดตามเซียน ติดตามกูรู วิ่งเข้าหาทางลัดเพื่อรวยๆเร็ว สุดท้ายก็ไปไม่ถึงฝั่ง ถึงแม้จะไม่ต้องทำงานออกจากกรงทองที่มีเงินเดือนใช้ ท่านก็จะเข้ามาอยู่กรงเหล็ก ที่ต้องลุ้นกำไรแบบช๊อตต่อช๊อตแทน อิสรภาพที่โหยหาก็หายไปอยู่ดี
อย่างนั้นทำงานอย่างเดิมดีกว่า
ไม่ใช่ครับ!!! ที่เขียนมาเพราะไม่อยากให้ฝัน ให้เคลิ้มไปตามคำพูดสวยหรู แต่ผมเองสนับสนุนให้ มนุษย์เงินเดือนออกมาตามฝัน ไม่ต้องทำทำงานที่ไม่ได้รัก ตลอดชีวิต แต่อย่าให้คิดให้วางแผนมากๆ เปรียบเหมือนกับคุณกำลังแหกคุกอัลคาทราซ ที่มีกำแพงหนา ชีวิตมนุษย์เงินเดือนมันเป็นกรอบ เป็นขนบในระบบทุนนิยม ที่เราทำตามกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อ รุ่นแม่ ถ้าบ้านไม่รวย พ่อแม่ไม่สปอยเงินให้อย่าไปคิดว่าจะออกมาง่ายๆ ต้องใช้เวลาใช้การทุ่มเทอย่างมาก ผมมี Road Map คราวๆ 6 ขั้นตอนให้ดูดังนี้
1. วางเป้าหมายเชิงรุก
ออกมาจากงานเพื่อทำอะไร อะไรคิดสิ่งที่เราต้องการจะทำ ถ้ายังคิดไม่ออก อย่าเพิ่งลาออกมา พยายามใช้เวลาในการหาเป้าหมายสิ่งที่ชอบที่อยากทำ อาจจะยังไม่ต้องใช่เลย สัก 2-3 อย่างก่อน ศึกษาให้ดี วางแผนที่จะทำ ให้พร้อม เพื่อไม่ให้ลาออกมา แล้วมาเคว้งไร้จุดหมาย ตื่นสาย นั่งหายใจทิ้งอยู่บ้านไปวันๆ ทำแบบนั้น เสียเวลา คุณค่าของตัวเองในสายตาคนอื่นๆ ก็ลดหายไป ความทุกข์ก็จะมาเยือนท่านทันที
2. วางเป้าหมายทางการเงิน
วางแผนการใช้จ่ายเงินว่า 1 เดือนต้องใช้เงินเท่าไหร่ และมองหาแหล่งรายรับ ที่มาชดเชยหลังออกจากงาน ถ้าสนใจ รายได้จากการลงทุนในหุ้น ต้องคิดให้ออกว่า เรามีจะต้องมีเงินลงทุนเท่าไหร่ ต้องการเดือนละเท่าไหร่ ปีละเท่าไหร่ รับความเสี่ยงได้แค่ไหน
3. ออมเงิน
เพราะถ้าคิดจะเล่นกับ passive income จากการลงทุนในตลาดหุ้น เราต้องอดออมเงินเพื่อสร้างเงินทุนสำหรับซื้อหุ้น แน่นอนว่าถ้าไม่มีใครออกทุนให้ ต้องใช้เวลาระหว่างทำงานนี่แหละครับ จงกัดฟันทด อดออมเก็บเงินให้ได้มากๆอย่างน้อยเดือนละ 3000-5000 บาท ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก เลิกซื้อเสื้อผ้า ของใช้ไอที โทรศัพท์รุ่นใหม่ เลิกกินหรู เลิกปาร์ตี้ทุกวัน
4. ศึกษาหาความรู้การลงทุน
ระหว่างทำงานประจำ สละเวลานอนดูละครหลังข่าว ลดเวลาเล่นเฟสบุ๊ค วันละชั่วโมงหาความรู้จากหนังสือ จากเว็บไซต์เรื่องการลงทุนมากๆ เท่าที่จะทำได้ เมื่อได้โมเดลแนวทางเบื้องต้นแล้ว ลองทำความคุ้นเคยในการลงทุน ด้วยการสมัครเปิดพอร์ตจำลอง click2win กับ settrade เพื่อทดลองซื้อขายหุ้น ลงทุนตามแนวทางที่เราศึกษามาก่อน
เมื่อชำนาญ ระดับหนึ่ง สัก 3-6 เดือนแล้ว ลองนำเงินออมที่มีใน ข้อ 3 มาเปิดพอร์ตลงทุนจริงๆ เน้นนะครับลงทุนระยะยาวหรือเก็งกำไรระยะกลาง อย่าไปเล่นสั้น เล่นรายวัน อย่าไปโลภหวังรวยเร็ว เพราะท่านยังต้องทำงานประจำอยู่ พยายามเลือกรูปแบบการลงทุนหรือการเก็งกำไร ที่ไม่ต้องติดตามราคาทั้งวัน และใช้เวลาในการหาข้อมูลมากเกินไปแบบมืออาชีพ เพราะเรายังมีภาระงานประจำอยู่ การจัดสมดุลต้องทำให้ดีอย่าให้เสียงานหลัก
6. ประเมินศักย์ภาพผลตอบแทน
ลงทุนในตลาดหุ้นสัก 1-2 ปี ลองประเมินศักย์ภาพในการลงทุน ผลตอบแทนรายปีที่ได้ ทั้งจากการซื้อขายหุ้นกินส่วนต่างราคา และจากเงินปันผล เพื่อประเมินความน่าจะเป็นในการ อยู่รอดจากการสร้างกระแสเงินสด จากการลงทุน ถ้าเอาอยู่ อยู่รอด พอมีความน่าจะเป็น cover รายจ่ายเราได้ ก็ค่อยขยับขยาย ลาออกมาอีกที
เห็นไหมครับ มีขั้นตอน ปฏิบัติ ผมเองก็ใช้ขั้นตอนแบบนี้ ก่อนออกมาเป็นนักลงทุนหรือนักเก็งกำไร เต็มตัว วันนี้แม้จะยังไม่ประสบความสำเร็จมีเงิน ร้อยล้าน พันล้าน แต่ผมก็มีกำไรเติบโตต่อเนื่องอยู่รอดมา 7 ปีแล้ว มันทำให้มั่นใจว่าอนาคต เราไม่อดตายหรือหมดตัวแน่นอน มีเวลาไปทำงานไปทำธุรกิจที่เราตั้งใจจะทำ
ขั้นตอนที่ผมเสนอมาให้ท่านออกตามฝัน ไปหาอิสรภาพ มันใช้เวลาครับ 2-3 ปี แต่เชื่อเถอะว่าถ้าวันนี้คุณเริ่มตั้งใจทำ แม้จะนานแต่มันคุ้มค่าที่จะลอง อย่าไปด่วนได้หักดิบ ลาออกมาแบบไม่มีแผน ไม่มีทิศทาง ปัจจุบันยุครัฐบาลประชานิยม เงินเดือนขั้นต่ำ 15000 ปริญญาตรี ล้นตลาด ยุคที่การงานลาออกจากงานนั้นง่าย แต่กลับเข้าไปใหม่ยาก ยิ่งคุณมีอายุมาก การเปลี่ยนงานยิ่งยากเป็นทวีคูณ แน่นอนว่านั้นอาจจะเป็นการลาออกครั้งสุดท้าย เพราะคุณจะไม่มีงานประจำที่ดีตรงตามวุฒิได้ทำตลอดไป ปิดท้ายด้วยคำคมแง่คิดดีๆจากคุณ ดัง ตฤณว่า
"โดดทีละ 10 ขั้นคือความฝัน ก้าวทีละขั้น คือ ของจริง"