ช่วงนี้มีกระแสบนเครือข่ายสังคมออนไลน์สองเรื่องที่ น่าสนใจโดยเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวกับการตลาดและแบรนด์ของสินค้า 2 เจ้า เจ้าแรกคือกระทิงแดง เป้าหมายมีไว้พุ่งชน ที่ใชสโลแกนนี้ทำการตลาด ชักชวนคนรุ่นใหม่ที่มีความมุ่งมั่นให้มาดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง แต่ตอนนี้ต้องมาเจอปัญหา กับกรณีชนแล้วหนีของทายาทเจ้าของกระทิงแดง แถมยังมีเรื่องการจับแพะที่สุดท้ายระดับ ผบช.น ต้องลงมาดูเอง กรณีนี้ก็ทำเอาสโลแกนของแบรนด์กระทิงแดง กลายเป็นที่ล้อเลียนอย่างสนุกสนาน
เรียกว่ากลายเป็นโจ๊กในโลกออนไลน์ไป และพ่วงด้วยกระแสต่อต้านเรื่องของสองมาตรฐานระหว่างการทำผิดของคนจนและคนรวยไปอีก ตามมาอีกกรณีคือเรื่องของคุณตัน ที่ออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการไม่ให้เงินรางวัลกับ นักกีฬาคนพิการในการแข่งขันพาราลิมปิก ทั้งที่ก่อนหน้าจัดหนักให้นักกีฬาโอลิปิกไปถึง 35 ล้านจนเป็นกระแสมากมาย จนทำให้คุณตันกลายเป็นฮีโร่พ่อพระฮ๊อทฮิตไป แต่ต้องมาสะดุดเพราะประโยคที่ว่า "พาราลิมปิก เอเชี่ยนเกมส์" ไม่ช่วย บอกตนคงทำบุญทุกวัดไม่ได้ ผมเองเป็นหัวหน้าครอบครัว ก็ยังต้องดูแลลูกเมีย"
เจอไปคำพูดของพ่อพระคนดังแบบนี้ไป หลายคนก็สะอึกพร้อมกับเปรียบเทียบว่า นักกีฬาปกติได้ 35 ล้าน คนพิการได้ 0 บาท บวกกับ อิชิตันก็ทุ่มไม่อั่นแจก iphone5 ในช่วงนี้ จนคนเริ่มโจมตีและตั้งข้อสงสัยว่า แบบนี้มันเหมือนเป็นเพราะ กีฬาคนพิการคนไม่สนใจ ไม่ mass เลยไม่ช่วยหรือไม่?? กลายเป็นกระแสลบย้อนกลับมาที่แบรนด์ เรื่องนี้ถ้าคุณตันไม่สัมภาษณ์ ไม่พูดตรง เงียบๆก็คงไม่มีปัญหา หรือยอมอ่อนแจก iphone5, ipad เครื่องไม่กี่หมื่นปลอบใจ นักกีฬาเหรียญทองคนพิการ ก็น่าจะช่วยลดกระแสค้านได้ แถมซื้อใจ คนพิการที่กินอิชิตันได้อีก
นำสองเรื่องนี้มาเขียน ไม่ได้ไปตัดสินว่าใครผิดหรือถูก แต่เพราะอยากบันทึกไว้เป็นอุทธาหรณ์เรื่องของการตลาดและการประชาสัมพันธ์ บางครั้งการเล่นกับกระแสสังคม การสร้างมูลค่าทางการตลาดด้วยการโฆษณา เป็นเรื่องที่สำคัญ แต่เมื่อแบรนด์ติด หรือมวลชนยอมรับแล้ว ก็เหมือนดาบสองคม ที่ต้องรักษา ไม่ทำให้มันเน่าหรือเสียไป
โยงเรื่องนี้กลับมาที่การลงทุน ในตลาดหุ้น หุ้นบางตัวก็มีการทำการตลาด ผู้บริหารออกสื่อ ให้สัมภาษณ์ ออกทีวี ส่วนตัวมองในแง่รับข่าวสารก็ไม่เสียหาย แต่สัมภาษณ์แล้ว พูดแล้ว ทำไม่ได้ แบบนี้ก็เสียหาย โดยเฉพาะเรื่องภาพลักษณ์ของบริษัท
หุ้นอีกแบบ คือหุ้นขยันออกสื่อบ่อย ผมเองไม่ชอบหุ้นตลาดนิยมแบบนี้ ที่เวลามีสตอรี่มาเล่าผ่านสื่อ มาทำให้ราคาวิ่ง ทำให้นักลงทุนในตลาดตื่นเต้นดีใจ จากนั้นพอออกข่าวก็เริ่มรินขาย จะจบรอบราคาหุ้นก็โดนทุบ ร่วงมายืนนิ่งจุดเดิม แบบนั้นไม่ได้สะท้อนอะไร นอกจากการเล่นราคาระยะสั้นกันเอง นักลงทุนระยะยาวเขาก็ไม่มาสนใจกับกระแสแบบนี้
หุ้นลักษณะแบบนี้ นักเก็งกำไรระยะสั้น ถ้าไม่ทันจังหวะคนทำราคา ก็เก็บกำไรยาก เข้าไปได้กำไรมาชมบ้าง แต่ยามโดนทุบออกไม่ทันก็ขาดทุนอยู่ดี พวกนี้ไม่ต้องดูกราฟ เพราะกราฟส่วนสั่งได้ เกิดจาก volume ที่เพิ่มเข้ามา สร้างแนวโน้มได้อยู่ดี หุ้นลักษณะขยันสร้างภาพสร้างสตอรี่ เลยเป็นเหมือนยาขม ซึ่งไม่ง่ายที่จะเข้าไปทำกำไร
ดังนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นจะแนวทางไหน ก็ตามสิ่งสำคัญคือต้องมีสติ มีวิจารณญาณที่ดี มองให้ทะลุเปลือก หรือภาพที่เขาฉาบไว้ หุ้นบางตัวภาพภายนอกดูดี มีคนทำให้มันสวยงามน่าสนใจ แต่ภายในอาจจะไม่สวยเช่นนั้น หรืออาจจะมีความเสี่ยงซ่อนอยู่ ถ้านักลงทุนมองไม่ออกก็จะตกเป็นเหยื่อของการตลาด ไปรับซื้อสินค้า ราคาแพงที่มวลชนนิยม แต่ไม่สร้างมูลค่า หรือสร้างกำไรในอนาคตครับ