ความรวย เกิดจากมูลค่าของสินทรัพย์ที่เราถือครอง ถ้าสินทรัพย์เราเพิิ่มค่าได้ในอนาคต ความมั่นคงความมั่งคั่งก็อยู่กับเราได้นาน แต่ถ้ามันเสื่อมค่าลดถอยลง เราเองก็คงเป็นทุกข์ เป็นกังวลมิใช่น้อยเช่นกัน นำเรื่องนี้มาเขียนเพราะช่วงนี้อ่านข่าวเกี่ยวกับหุ้นต่างประเทศ หลายสำนักเล่นข่าว FaceBook Inc. กันมากมาย โดยเฉพาะการด้อยค่าของหุ้นเฟสบุ๊คที่ตกลงอย่างหน้าใจหาย
ปัจจุบันราคาหุ้น facebook ร่วงตกต่ำ เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าคนที่มีหุ้น facebook มากที่สุดยอมสูญเสียมูลค่าทรัพย์สินมากที่สุดเช่นกัน มาร์ค ซัคเคอร์เบิก CEO ของเฟซบุ๊ควัย 28ปี คนนี้ มีทรัพย์สินลดลงจากเดิม 13,7000 ล้านดอลลาร์ ไปอยู่ที่ 10,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้เขาหลุดจาก 10 อันดับมหาเศรษฐีพันล้านในกลุ่ม IT technology ไปทันที และหลุด 40 อันดับของคนที่รวยที่สุดในโลกไป
แน่นอนว่าการที่หุ้น Facebook ร่วงลงถึง 50% จากราคา IPO ย่อมทำให้คนที่มีหุ้นของเฟสบุ๊ค เป็นเดือดเป็นร้อน เพราะมูลค่าของทรัพย์สินของตนเองหดหายไปเยอะเกือบครึ่ง ว่ากันว่า facebook ช่วงนี้เป็นช่วงกำลังระส่ำระสายที่สุด เพราะจากผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาแย่ขาดทุนถึง 157 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ราคาหุ้นร่วงไปอยู่ที่ 19.82 จากราคาสูงสุดตอน IPO ที่ 45 เหรียญต่อหุ้น ซึ่งเป็นมูลค่าที่ลดลงมากกว่า 50% ต่อหุ้น ทำเอานักลงทุนไม่ว่าจะรายเล็ก รายใหญ่ ขาดทุนไปตามๆกัน
ยังมีโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายอนาคตของเฟสบุ๊ค อีกประการนั้นคือเรื่องของการที่ผู้บริหารระดับสูงของเฟสบุ๊คต่างพร้อมใจกันยื่นใบลาออกอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่หุ้น facebook เข้าตลาดหุ้น ทั้งหมดนั้นเป้นผู้บริหารรุ่นบุกเบิกและเป็นบุคคลากรระดับมันสมองของ facebook โดยช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ผู้บริหารส่วนใหญ่ที่ลาออกล้วนทำงานกับบริษัท มานานมากกว่า 5 ปี ตัวอย่างเช่น
- Katie Mitic ตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายหุ้นส่วน(director of platform partnerships)
- Ethan Beard ตำแหน่ง Director of the Facebook Developer Network
- Ethan Beard ตำแหน่ง Director of the Facebook Developer Network
- แรนดี้ ซัคเคอร์เบริก (Randi Zuckerberg) น้องสาวของมาร์ค ตำแหน่ง Marketing Director
- Ben Blumenfeld ตำแหน่ง design manager
- Bret Taylor ตำแหน่ง Chief Technology Officer
- Carl Sjogreen ตำแหน่ง Director of Product Management
- Barry Schnit ตำแหน่ง Director of Corporate Communications
Randi Zuckerberg อีกหนึ่งผู้บริหารและน้องสาวของคุณ มาร์ค ซัคเคอร์เบิก ที่อยู่กับ facebook มาถึง 6 ปีก็ลาออกจากบริษัท เพื่อมาเปิดกิจการของตนเอง
ซึ่งเรื่องการลาออกของเหล่าขุนพลเฟสบุ๊คนี้ ทำให้เกิดคำถามเรื่องความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนในอนาคต และยังสะท้อนถึงเรื่องการบริหารภายในพอสมควร ถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง บางทีน่าอาจจะเป็นโอกาสหนึ่งในชีวิต ที่คนเหล่านี้คิดอยากจะมีธุรกิจ กิจการเป็นของตัวเอง เพราะเมื่อ facebook เข้าตลาดหุ้น พนักงานส่วนใหญ่ล้วนได้รับหุ้นเป็นการตอบแทน ผู้บริหารระดับสูงเหล่านี้ก็ได้รับหุ้นที่มีมูลค่าไม่น้อย จนทำให้มีทุนในการตั้งตัว นักวิเคราะห์บางคนยังมองว่าพนักงานส่วนใหญ่ที่คิดจะตีจาก ล้วนนำหุ้นที่มีออกมาขาย เพื่อเปลี่ยนเป็นทุนในการตั้งตัว ในช่วงที่ราคาหุ้นยังดี แม้ว่าจะไม่ได้ขายทั้งหมด
ปัจจุบันราคาหุ้น facebook ร่วงตกต่ำ เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าคนที่มีหุ้น facebook มากที่สุดยอมสูญเสียมูลค่าทรัพย์สินมากที่สุดเช่นกัน มาร์ค ซัคเคอร์เบิก CEO ของเฟซบุ๊ควัย 28ปี คนนี้ มีทรัพย์สินลดลงจากเดิม 13,7000 ล้านดอลลาร์ ไปอยู่ที่ 10,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้เขาหลุดจาก 10 อันดับมหาเศรษฐีพันล้านในกลุ่ม IT technology ไปทันที และหลุด 40 อันดับของคนที่รวยที่สุดในโลกไป
ถ้าเป็นคนที่ยึดติดในทรัพยสินมากๆ ก็คงจะทุกข์แน่นอน แต่สิ่งหนึ่งที่คนเป็นผู้บริหารและผู้ก่อตั้งกิจการเป็นคือ ต้องมั่นใจในกิจการ ที่ตนเองทำ มั่นใจในความคิดและวิสัยทัศน์ของตนเป็นหลัก ดังนั้นแม้สินทรัพย์จะลดลงแค่ไหน คุณมาร์ค ซัคเคอร์เบิกแกคงไม่ท้อ แต่คนที่ท้อน่าจะเป็นนักลงทุน ที่โดนชี้นำให้ไปซื้อหุ้นราคา IPO จำนวนมาก ด้วยภาพที่สวยหรูตามที่โบรกเกอร์หลายเจ้าโฆษณาไว้ตอนต้น มาถึงปัจจุบัน นักวิเคราะห์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ายังมองไม่เห็นอนาคตของ facebook ทั้งทีเวลาผ่านมาแค่ไม่ถึงปี แมงเม่าอเมริกาก็ติดดอย หรือไม่ก็โดน force sell ไปตามๆกัน
เรื่องนี้น่าจะเป็นบทเรียนที่ดีกับนักลงทุน ว่าการจะลงทุนในหุ้น กิจการใด เราควรจะทำความรู้จัก ควรจะเรียนรู้ให้ดีเสียก่อน ดีกว่าการไปลงทุนตามกระแส วิ่งไปตามแรงเชียร์ ตามตลาด สุดท้ายก็มักจะพลาดขาดทุน สำหรับผมก่อนจะซื้อหุ้น เพื่อลงทุนระยะยาว ผมมักมองหาทรัพย์สินของกิจการเป็นหลักก่อน ถึงแม้จะมีไม่มาก แต่ก็ต้องมีอะไรที่เป็นหลักประกันได้ว่า บริษัทนี้ยังมีมูลค่าแม้ว่าจะเจ๊ง จากนั้นค่อยมามองหา โอกาสการเติบโตในอนาคตต่อไป การลงทุนคือการนำเงินของเราไปลงเพื่อสร้างผลกำไร ถ้าเราเลือกบริษัท เลือกกิจการได้ดี ย่อมเป็นประโยชน์
ไม่ว่าเราจะเป็นนักเก็งกำไรระยะสั้น หรือนักลงทุนระยะยาว สิ่งหนึ่งที่เราควรจะทำก่อนการซื้อหุ้น นั้นคือการศึกษาหุ้นตัวนั้น อย่างน้อยเบื้องต้นต้องรู้ที่มาที่ไป รู้ว่าทำกิจการอะไร รู้ว่าใครบริหาร สิ่งเหล่านี้สามารถอ่านได้จากแบบ 56-1 หรือใช้เวลาสั้นๆ ดูรายการ Opportunity day ที่ทางตลาดหลักทรัพย์จัดถ่ายทอดให้เราดู เพื่อรับรู้ถึงข้อมูลเบื้องต้นของบริษัท ถ้าบริษัทนั้นอนาคตดี เติบโตได้ การเทรดหุ้นในหุ้นที่เติบโต คุณภาพของแนวโน้มราคาก็จะดี ดังนั้นความน่าจะเป็นของการได้กำไรย่อมมีสูง โอกาสที่จะชนะก็ย่อมมีมากกว่าแพ้ครับ
ใครรวยจากหุ้น facebook
- http://www.cway-investment.com/2012/05/facebook-ipo.html
- http://www.cway-investment.com/2012/05/facebook-2.html
- http://www.cway-investment.com/2012/05/facebook-ipo.html
- http://www.cway-investment.com/2012/05/facebook-2.html