ตั้งแต่เด็กๆมาแล้ว ได้ฟังเพลงคาราบาวที่ว่า "คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น" มันเลยทำให้ผมค่อนข้างสงสัยว่าทำไม คนจนเล่นหุ้นไม่ได้หรอ??? ตอนนั้นรู้จักตลาดหุ้นจากหนังจีนเรื่อง "เจ้าพ่อตลาดหุ้น" ที่ฉายทางช่อง 3 ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจดี กับภาพตลาดหุ้นที่เห็น มีการเคาะกระดาน เขียนกระดาน มีเจ้าหน้าที่ใส่เสื้อแบบมอเตอร์ไซด์วิน สีต่างๆตะโกนชูไม้ ชูมือ แข่งกันโหวกเหวกโวยวาย ไม่กี่ชั่วโมง ผ่านไปก็ทำให้คนธรรมดากลายเป็นได้ทั้งจนและรวย
ตอนนั้นอยู่ต่างจังหวัด ไม่รู้จักหรอกครับตลาดหุ้น จะไปถามพ่อแม่ ญาติพี่น้องก็ไม่มีใครรู้ เพราะเรามันเป็นคนจน ส่วนใหญ่รู้จักแต่หวย วันที่ 1 วันที่ 16 ก็วิ่งกันเป็นประจำ มันยิ่งทำให้ตอกย้ำภาพที่ว่า คนจนเล่นหวยกันเข้าใหญ่
เมื่อผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ได้เข้ามาเรียนในเมือง มีโอกาสได้ไปรู้จักกับหุ้น จากหนังสือพิมพ์ในห้องสมุด เห็นตารางราคาหุ้น ตัวเลขมากมายทำให้น่าศึกษา บวกกับช่วงนั้นเมืองไทยเจอผิดวิกฤติการเงินต้มยำกุ้ง ทำเอาคนหมดตัวจากตลาดหุ้นจำนวนมาก ผมจำได้เลยว่ามีข่าวคนเป็นหนี้ล้มละลาย ฆ่าตัวตายก็หลายข่าว
ดังนั้นถ้าไปคุยกับผู้ใหญ่เรื่องหุ้น ก็จะมีแต่คนเบ้ปากแล้วบอกว่า "การพนัน" บ้าง "ตลาดหลอกทรัพย์" บ้าง "ไม่รวยมีแต่จะหมดตัว" บ้าง สรุปแล้วภาพลักษณ์ของตลาดหุ้นสำหรับคนวงนอกจึงเป็นภาพเชิงลบในยุคนั้น แม้ยุคหลังวิกฤติการเงินปี 2551 ตลาดหุ้นกระทิงวิ่งกระจาย จะหอมหวานเชื้อเชิญให้คนแห่เข้ามาลงทุน เข้ามาขุดทองจำนวนมาก แต่คนจำนวนไม่น้อยยังเข้าใจผิดกับตลาดหุ้นอยู่ดี
ความเข้าใจผิดสืบเนื่องมาจากคำที่ว่า "คนจนเล่นหวยคนรวยเล่นหุ้น" สิ่งหนึ่งที่เป็นรากของความเชื่อนี้คือ "เงินทุน" เรามักจะคิดว่าการเข้ามาเล่นหุ้นเก็งกำไร หรือลงทุนจำเป็นต้องใช้เงินเยอะๆ มันจึงทำให้หลายคนปิดโอกาสตัวเองด้วยข้ออ้างที่ว่า ไม่มีเงิน เงินน้อย เงินไม่พอ หรือแม้ว่าจะเก็บหอมรอมริบให้มีเงินหลักหมื่นพอเปิดพอร์ตลงทุนได้ ก็ยังโดนความเชื่อผิดๆจากแมงเม่าหัวเก่า ที่เป่าหูว่า สายป่านสั้น "เงินน้อยเล่นหุ้นยังไงก็ไม่รวย" ต้องกู้มาเพิ่ม ต้องหาเงินมาเพิ่มเพื่อจะได้ทำกำไรเยอะๆ
จริงๆแล้วผมอยากให้พวกเราคิดดูใหม่ ผมกล้าพูดจากประสบการณ์ตัวเอง ที่เริ่่มต้นจากพอร์ตลงทุนเล็กๆมาก่อน ว่าเงินน้อย ในการเป็นมือใหม่ ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่มันกลับเป็นข้อได้เปรียบ เพราะเมื่อคุณเข้ามาตลาดหุ้นใหม่ ประสบการณ์น้อย มันมีหลายสิ่งที่ต้องเรียนรู้ โดยเฉพาะการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ซื้อขายจริง แน่นอนว่าต้องมีผิดพลาด มีขาดทุนที่หนีไม่พ้น ถ้าเราเรียนรู้ไปกับมันเราก็จะได้รับประสบการณ์
แต่ถ้าเราใช้เงินเก็บ เงินออม เงินกู้ทั้งหมด ที่มีลงทุนหรือมาเล่นหุ้นเก็งกำไร ครั้งแรก ยิ่งเงินมากเท่าไหร่ มันยิ่งมีผลต่อจิตใจของเรามากเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณเริ่มต้นด้วยเงิน 500,000 บาท ถ้าต้องขาดทุนครั้งหนึ่ง 10% เป็นเงิน 50,000 บาท เป็นไงครับ จิตตกใช่ไหม? ยิ่งถ้าเป็นมนุษย์เงินเดือนเป็นลูกจ้าง รายได้เดือนละหมี่นกว่าๆ นั้นคือเงินเดือนเกือบครึ่งปีของคุณทีเดียว
ยิ่งทำให้คุณเกิดอารมณ์กลัว เกิดอารมณ์ตื่นตระหนก สุดท้ายก็จิตตก ไม่กล้าลงทุน หรือไม่ก็ต้องยอมติดดอย ยึดคติผิดๆที่ว่า "ไม่ขายไม่ขาดทุน" ปล่อยให้พอร์ตเน่า รอวันเงินเดือนออกหาเงินมาซื้อถั่วเพิ่มเพื่อให้ลงดอย
แล้วถ้าคุณก็จะติดกับความกลัวไม่กล้าเสี่ยง ไม่กล้าทดลอง คุณก็ต้องพบกับชะตากรรม "ขายหมู ติดดอย" ตลอดไป เพราะแพ้อารมณ์ไปแล้ว ยิ่งมีพื้นฐานความจนในตัว มีเงินไม่มาก คุณยิ่งอยากได้อยากรวย โลภที่จะหากำไรมากเท่านั้น ยิ่งเคยได้ยินว่า คนอื่นได้ 10 ล้าน 100 ล้าน 1000 ล้านจากหุ้น คุณก็ยิ่งอยากได้ อยากโหยหากำไร ตรงนี้แหละที่ทำให้ยิ่งผิดพลาด ยิ่งขาดทุน ขาดทุนบ่อยจิตก็ตก การตัดสินใจก็เลวร้ายไปอีก
แย่กว่านั้น แมงเม่าอกหักขาดทุนมักไม่โทษตัวเอง โทษคนอื่น โทษดวง แล้วมักหาทางออก โดยการไปพี่ง ศาสดา หากูรู หาหุ้นเด็ด หาโพยมาเล่น เพราะเชื่อว่าทำแบบนี้ไม่ขาดทุน ทำแบบนี้กำไร สุดท้ายก็ต้องเป็นเหยื่อ พึ่งพาจมูก คนอื่นหายใจตลอดไป ไม่รวยแถม ไม่ได้พัฒนาตัวเองอีก
ดังนั้นอย่าไปกังวลกับเงินเริ่มต้นที่น้อย มีน้อยลงทุนน้อย ได้กำไรไม่มากไม่ต้องไปกังวล ไม่รวยวันนี้ พรุ่งนี้ไม่ต้องไปสนใจ ลงทุนแบบระมัดระวัง รักษาเงินต้นให้ดี
ลองผิด ลองถูก เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เรียนรู้จากสิ่งผิดพลาด พัฒนาทักษะ พัฒนากระบวนการ หรือโมเดลระบบในการลงทุน(ไม่ว่าจะแบบลงทุนระยะสั้นหรือยาว) ให้ชัดเจนและแข็งแรง เมื่อมันอยู่รอด มันสร้างกำไรได้ต่อเนื่อง เมื่อนั้นเราค่อยคิดขยายผลกำไร เช่นการใช้เงินกู้ หรือใช้ leverage ต่างๆ
สุดท้ายเงินน้อยมันก็จะทำให้เรารวยได้ เพราะสิ่งสำคัญ มันไม่ได้อยู่ที่เงินทุนเริ่มต้น แต่มันอยู่ที่กระบวนการ บางคนมีเงินมากแต่ไม่มีกระบวนการ ไม่มีระบบเทรดหุ้นที่ถูก ก็เหมือนพวกเสี่ยงโชค ได้ๆเสียๆ สลับกันไป แต่สุดท้ายแล้วพอร์ตลงทุนก็ไม่ได้โตไม่งอกเงย
ลองเปลี่ยนวิธีคิดซะใหม่ ลองเปิดใจเรียนรู้จากความผิดพลาด รับรองว่าสักวัน ความสำเร็จต้องมาหาเรา ไม่ว่าคนจน หรือคนรวย ถ้าคิดเป็น ถ้าตั้งใจ ก็รวยได้จากตลาดหุ้นเช่นกันครับ
ตอนนั้นอยู่ต่างจังหวัด ไม่รู้จักหรอกครับตลาดหุ้น จะไปถามพ่อแม่ ญาติพี่น้องก็ไม่มีใครรู้ เพราะเรามันเป็นคนจน ส่วนใหญ่รู้จักแต่หวย วันที่ 1 วันที่ 16 ก็วิ่งกันเป็นประจำ มันยิ่งทำให้ตอกย้ำภาพที่ว่า คนจนเล่นหวยกันเข้าใหญ่
เมื่อผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ได้เข้ามาเรียนในเมือง มีโอกาสได้ไปรู้จักกับหุ้น จากหนังสือพิมพ์ในห้องสมุด เห็นตารางราคาหุ้น ตัวเลขมากมายทำให้น่าศึกษา บวกกับช่วงนั้นเมืองไทยเจอผิดวิกฤติการเงินต้มยำกุ้ง ทำเอาคนหมดตัวจากตลาดหุ้นจำนวนมาก ผมจำได้เลยว่ามีข่าวคนเป็นหนี้ล้มละลาย ฆ่าตัวตายก็หลายข่าว
จริงๆแล้วผมอยากให้พวกเราคิดดูใหม่ ผมกล้าพูดจากประสบการณ์ตัวเอง ที่เริ่่มต้นจากพอร์ตลงทุนเล็กๆมาก่อน ว่าเงินน้อย ในการเป็นมือใหม่ ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่มันกลับเป็นข้อได้เปรียบ เพราะเมื่อคุณเข้ามาตลาดหุ้นใหม่ ประสบการณ์น้อย มันมีหลายสิ่งที่ต้องเรียนรู้ โดยเฉพาะการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ซื้อขายจริง แน่นอนว่าต้องมีผิดพลาด มีขาดทุนที่หนีไม่พ้น ถ้าเราเรียนรู้ไปกับมันเราก็จะได้รับประสบการณ์
แต่ถ้าเราใช้เงินเก็บ เงินออม เงินกู้ทั้งหมด ที่มีลงทุนหรือมาเล่นหุ้นเก็งกำไร ครั้งแรก ยิ่งเงินมากเท่าไหร่ มันยิ่งมีผลต่อจิตใจของเรามากเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณเริ่มต้นด้วยเงิน 500,000 บาท ถ้าต้องขาดทุนครั้งหนึ่ง 10% เป็นเงิน 50,000 บาท เป็นไงครับ จิตตกใช่ไหม? ยิ่งถ้าเป็นมนุษย์เงินเดือนเป็นลูกจ้าง รายได้เดือนละหมี่นกว่าๆ นั้นคือเงินเดือนเกือบครึ่งปีของคุณทีเดียว
ยิ่งทำให้คุณเกิดอารมณ์กลัว เกิดอารมณ์ตื่นตระหนก สุดท้ายก็จิตตก ไม่กล้าลงทุน หรือไม่ก็ต้องยอมติดดอย ยึดคติผิดๆที่ว่า "ไม่ขายไม่ขาดทุน" ปล่อยให้พอร์ตเน่า รอวันเงินเดือนออกหาเงินมาซื้อถั่วเพิ่มเพื่อให้ลงดอย
แล้วถ้าคุณก็จะติดกับความกลัวไม่กล้าเสี่ยง ไม่กล้าทดลอง คุณก็ต้องพบกับชะตากรรม "ขายหมู ติดดอย" ตลอดไป เพราะแพ้อารมณ์ไปแล้ว ยิ่งมีพื้นฐานความจนในตัว มีเงินไม่มาก คุณยิ่งอยากได้อยากรวย โลภที่จะหากำไรมากเท่านั้น ยิ่งเคยได้ยินว่า คนอื่นได้ 10 ล้าน 100 ล้าน 1000 ล้านจากหุ้น คุณก็ยิ่งอยากได้ อยากโหยหากำไร ตรงนี้แหละที่ทำให้ยิ่งผิดพลาด ยิ่งขาดทุน ขาดทุนบ่อยจิตก็ตก การตัดสินใจก็เลวร้ายไปอีก
แย่กว่านั้น แมงเม่าอกหักขาดทุนมักไม่โทษตัวเอง โทษคนอื่น โทษดวง แล้วมักหาทางออก โดยการไปพี่ง ศาสดา หากูรู หาหุ้นเด็ด หาโพยมาเล่น เพราะเชื่อว่าทำแบบนี้ไม่ขาดทุน ทำแบบนี้กำไร สุดท้ายก็ต้องเป็นเหยื่อ พึ่งพาจมูก คนอื่นหายใจตลอดไป ไม่รวยแถม ไม่ได้พัฒนาตัวเองอีก
ดังนั้นอย่าไปกังวลกับเงินเริ่มต้นที่น้อย มีน้อยลงทุนน้อย ได้กำไรไม่มากไม่ต้องไปกังวล ไม่รวยวันนี้ พรุ่งนี้ไม่ต้องไปสนใจ ลงทุนแบบระมัดระวัง รักษาเงินต้นให้ดี
ลองผิด ลองถูก เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เรียนรู้จากสิ่งผิดพลาด พัฒนาทักษะ พัฒนากระบวนการ หรือโมเดลระบบในการลงทุน(ไม่ว่าจะแบบลงทุนระยะสั้นหรือยาว) ให้ชัดเจนและแข็งแรง เมื่อมันอยู่รอด มันสร้างกำไรได้ต่อเนื่อง เมื่อนั้นเราค่อยคิดขยายผลกำไร เช่นการใช้เงินกู้ หรือใช้ leverage ต่างๆ
สุดท้ายเงินน้อยมันก็จะทำให้เรารวยได้ เพราะสิ่งสำคัญ มันไม่ได้อยู่ที่เงินทุนเริ่มต้น แต่มันอยู่ที่กระบวนการ บางคนมีเงินมากแต่ไม่มีกระบวนการ ไม่มีระบบเทรดหุ้นที่ถูก ก็เหมือนพวกเสี่ยงโชค ได้ๆเสียๆ สลับกันไป แต่สุดท้ายแล้วพอร์ตลงทุนก็ไม่ได้โตไม่งอกเงย
ลองเปลี่ยนวิธีคิดซะใหม่ ลองเปิดใจเรียนรู้จากความผิดพลาด รับรองว่าสักวัน ความสำเร็จต้องมาหาเรา ไม่ว่าคนจน หรือคนรวย ถ้าคิดเป็น ถ้าตั้งใจ ก็รวยได้จากตลาดหุ้นเช่นกันครับ