เมื่อเช้าไปคุยงานกับรุ่นพี่คนหนึ่ง เสร็จแล้วเลยมีโอกาสคุยเรื่องสัพเพเหระ เลยไปจนถึงเรื่องครอบครัว มีประเด็นหนึ่งผมติดใจแล้วอยากนำมาเล่าต่อนั้นคือเรื่องการศึกษาของลูก สิ่งผมติดใจคือ ไม่น่าเชื่อว่าค่าเทอม์ของเด็กอนุบาลในโรงเรียนเอกชนสมัยนี้เทอมหนึ่งเกือบ 4.5 หมื่นบาท ไม่รวมค่ากิจกรรมพิเศษรายทาง เลยทำให้ย้อมกลับไปคิดถึงว่า กว่าคนเราจะเรียนจบทำงานพ่อแม่เราลงทุนไปกับค่าการศึกษาไปเท่าไหร่
ตัวผมค่อนข้างโชคดีนิดๆเพราะเรียนโรงเรียนของรัฐบาล จบมหาวิทยาลัยรัฐบาลมาตลอดเลย น่าจะถูกกว่าเด็กสมัยนี้ที่ ทัศนคติ ค่านิยมของผู้ปกครองชนชั้นกลางที่มีกำลังจ่ายมองว่าโรงเรียนรัฐบาล(อนุบาล ประถม มัธยม) นั้นด้อยกว่าโรงเรียนเอกชน ทำให้เป็นภาระหนักในการต้องลงทุนเพื่อการศึกษาให้กับลูก จริงๆแล้วต้นทุนการศึกษาที่ต้องจ่ายของแต่ละคนคงไม่เท่ากัน(ไม่นับรวมต้นแฝงอื่นๆ) แต่ถ้าดูตามตัวเลขโดยเฉลี่ยที่ ตั้งแต่ประถม มัธถม ปริญญาตรี แบบปกติธรรมดาก็น่าจะตกราวๆ 500,000 - 1,000,000 บาทแบบธรรมดาไม่รวมคนที่จบมหาวิทยาลัยเอกชน หรือโรงเรียนเอกชน แบบนั้นคงแพงขึ้นไปอีกมากมาย ต้นทุนเหล่านี้ทำให้เรามีวันนี้ มีงาน มีอาชีพ และเมื่อเราเริ่มมีอาชีพ ก็คือช่วงที่เราเริ่มจะได้รับผลตอบแทน
ปัญญาอย่างนึ่งคือ โอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากที่ลงทุนไป ในรูปแบบหน้าที่การงานแตกต่างกัน บางคนทำงานเอกชน บริษัทใหญ่ก็เงินเดือนดี แต่ถ้าทำงานราชการ หรือบริษัทเอกชนเล็กๆ เงินเดือนจะลดลงไปตามลำดับ ถ้าคนไหนขยันลงทุนหาความรู้เพิ่มเติม จากการอบรม การเรียนต่อ การศึกษานอกห้องเรียน แล้วนำมาใช้ในการทำงาน เพื่อให้ได้ค่าจ้างหรือค่าตอบแทนที่สูงขึ้น ถ้าหักลบกับค่าครองชีพพื้นฐาน(ปัจจัย 4 )แล้วเหลือเก็บ นั้นเป็นผลกำไรที่ได้จากการลงทุนไป
ดังนั้นจึงเปรียบได้ว่าการศึกษาหาความรู้ ก็คือการลงทุนระยะยาว ที่กว่าจะเห็นดอกเห็นผล ต้องใช้เวลารอ ต้องอดทนและพยายาม เมื่อมองลักษณะนี้ทุกคนล้วนผ่านประสบการณ์การลงทุนระยะยาวเพื่อตนเองกันมาทั้งนั้น ถ้าเราลองเปรียบเทียบการลงทุนตลาดหุ้น ไม่ว่าจะลงทุนแนวไหนจะเก็งกำไร หรือ VI ล้วนต้องลงทุนเริ่มต้น กับการศึกษา การหาความรู้ เพราะไม่มีใครเก่งหรือรู้มาตั้งแต่เกิด ที่สำคัญกว่าสิ่งที่เราจะเรียนรู้ไปแล้วเห็นผลลัพธ์มันย่อมต้องใช้เวลา
แต่ปัญหาที่ผมพบคือ นักลงทุนส่วนใหญ่มักใจร้อน คิดว่าการศึกษา การเรียนรู้เรื่องหุ้นใช้เวลาไม่นานก็ เก่งได้ จะหาเงินได้ บางคนไปอบรมเพียง 2-3 ครั้ง ซื้อหนังสือ 4-5 เล่ม พออ่านกราฟเป็น ใช้โปรแกรมเทรดได้ ดูตัวเลขปริมาณซื้อขายได้ ก็คิดว่าข้านี่ตัวจริง รวยแล้ว จะฟันกำไรจากหุ้นให้ดู
การทำเช่นนั้นมันเป็นทัศนคติที่ผิด และด่วนได้ไปหน่อย เพราะโลกนี่มันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ การทำเงิน จากตลาดหุ้นมันไม่ใช้ การหยิบเงินในอากาศ กว่าที่เราจะสร้างผลตอบแทนจริงๆ ที่คงที่และต่อเนื่องจากตลาดหุ้นได้นั้น ไม่ว่าจะลงทุนแนวไหน มันไม่ใช่เกิดขึ้นเพียง 1-2 สัปดาห์(แบบที่เรียนไม่นาน คุณก็เป็นมือโปร ทำเงินมากมายแบบนั้นแหกตา หลอกเอาเงินค่าเรียนเราครับ)
กว่าที่เราจะไปถึงจุดนั้นต้องผ่านการเพาะบ่ม การตกผลึก สร้างประสบการณ์หลายปี(5-10 ปีขึ้นไป) ต้องผ่านภาวะตลาดหุ้นในหลายรูปแบบ ผ่านจุดล้มเหลว จุดต่ำสุดของชีวิตการลงทุนไปก่อน ต้องเรียนรู้จากข้อผิดพลาดมากมาย ที่เกิดกับตัวเอง เพื่อให้มันเข้าใจถ่องแท้ ไอ้แบบที่บอกว่าเรียนรู้จากคนอื่น ตัวเองจะได้ไม่เจ็บ เอาเข้าจริงใช้ไม่ได้ครับ เพราะคุณอาจจะรู้ แต่ไม่เข้าใจ เหมือนฟังแต่ไม่ได้ยิน ไม่รู้ว่าทำไม สถานะการณ์แบบใด อารมณ์แบบใด ถึงพาเราไปตรงนั้น การได้ประสบกับตัวจะทำให้เราเข้าใจ และเรียนรู้ที่จะป้องกันมันได้ในอนาคต
ดังนั้นทุกอย่างมันมีเวลาเป็นของมันเอง อยากฝากไว้กับมือใหม่ พยายามลงทุนในการศึกษาเรียนรู้หุ้นให้มากๆ ทั้งเรียนรู้จากตำรา จากการพูดคุยกับคนที่มีประสบการณ์ และเรียนรู้จากตนเองจากข้อผิดพลาดในอดีต(อันนี้มาค่ามากที่สุด ดีกว่าไปเสียเงินอบรมแพงๆ )
จงอย่ารีบลืมสิ่งที่เราผิดแต่จงจดจำและหาทางแก้ไข จากนั้นจดบันทึกเป็นตำราของตัวเองไว้ เมื่อถึงวันหนึ่งวันที่เราเข้าใจทั้งหมด ก็เปรียบได้กับการที่เราสำเร็จการศึกษา ได้รับปริญญาจากตลาดหุ้น วินาทีนั้น เราจะรู้ได้เองว่าตัวเราเอาอยู่ เราเข้าใจและเอาตัวรอดจากตลาดหุ้นได้ โดยไม่ต้องให้ใครมา บอกเรา และสิ่งที่จะประจักษ์ ก็คือ ผลตอบแทน กำไรที่จะเข้ามาอย่างต่อเนื่อง อย่างชัดเจน ไม่ใช่การได้กำไรแบบบังเอิญเดาถูกและก็หมดไปในไม่กี่ครั้ง อยากฝากเรื่องนี้ไว้กับพี่น้องๆที่เป็นมือใหม่ในตลาดหุ้น ได้ลองคิดดูกันครับ
ตัวผมค่อนข้างโชคดีนิดๆเพราะเรียนโรงเรียนของรัฐบาล จบมหาวิทยาลัยรัฐบาลมาตลอดเลย น่าจะถูกกว่าเด็กสมัยนี้ที่ ทัศนคติ ค่านิยมของผู้ปกครองชนชั้นกลางที่มีกำลังจ่ายมองว่าโรงเรียนรัฐบาล(อนุบาล ประถม มัธยม) นั้นด้อยกว่าโรงเรียนเอกชน ทำให้เป็นภาระหนักในการต้องลงทุนเพื่อการศึกษาให้กับลูก จริงๆแล้วต้นทุนการศึกษาที่ต้องจ่ายของแต่ละคนคงไม่เท่ากัน(ไม่นับรวมต้นแฝงอื่นๆ) แต่ถ้าดูตามตัวเลขโดยเฉลี่ยที่ ตั้งแต่ประถม มัธถม ปริญญาตรี แบบปกติธรรมดาก็น่าจะตกราวๆ 500,000 - 1,000,000 บาทแบบธรรมดาไม่รวมคนที่จบมหาวิทยาลัยเอกชน หรือโรงเรียนเอกชน แบบนั้นคงแพงขึ้นไปอีกมากมาย ต้นทุนเหล่านี้ทำให้เรามีวันนี้ มีงาน มีอาชีพ และเมื่อเราเริ่มมีอาชีพ ก็คือช่วงที่เราเริ่มจะได้รับผลตอบแทน
ปัญญาอย่างนึ่งคือ โอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากที่ลงทุนไป ในรูปแบบหน้าที่การงานแตกต่างกัน บางคนทำงานเอกชน บริษัทใหญ่ก็เงินเดือนดี แต่ถ้าทำงานราชการ หรือบริษัทเอกชนเล็กๆ เงินเดือนจะลดลงไปตามลำดับ ถ้าคนไหนขยันลงทุนหาความรู้เพิ่มเติม จากการอบรม การเรียนต่อ การศึกษานอกห้องเรียน แล้วนำมาใช้ในการทำงาน เพื่อให้ได้ค่าจ้างหรือค่าตอบแทนที่สูงขึ้น ถ้าหักลบกับค่าครองชีพพื้นฐาน(ปัจจัย 4 )แล้วเหลือเก็บ นั้นเป็นผลกำไรที่ได้จากการลงทุนไป
ดังนั้นจึงเปรียบได้ว่าการศึกษาหาความรู้ ก็คือการลงทุนระยะยาว ที่กว่าจะเห็นดอกเห็นผล ต้องใช้เวลารอ ต้องอดทนและพยายาม เมื่อมองลักษณะนี้ทุกคนล้วนผ่านประสบการณ์การลงทุนระยะยาวเพื่อตนเองกันมาทั้งนั้น ถ้าเราลองเปรียบเทียบการลงทุนตลาดหุ้น ไม่ว่าจะลงทุนแนวไหนจะเก็งกำไร หรือ VI ล้วนต้องลงทุนเริ่มต้น กับการศึกษา การหาความรู้ เพราะไม่มีใครเก่งหรือรู้มาตั้งแต่เกิด ที่สำคัญกว่าสิ่งที่เราจะเรียนรู้ไปแล้วเห็นผลลัพธ์มันย่อมต้องใช้เวลา
แต่ปัญหาที่ผมพบคือ นักลงทุนส่วนใหญ่มักใจร้อน คิดว่าการศึกษา การเรียนรู้เรื่องหุ้นใช้เวลาไม่นานก็ เก่งได้ จะหาเงินได้ บางคนไปอบรมเพียง 2-3 ครั้ง ซื้อหนังสือ 4-5 เล่ม พออ่านกราฟเป็น ใช้โปรแกรมเทรดได้ ดูตัวเลขปริมาณซื้อขายได้ ก็คิดว่าข้านี่ตัวจริง รวยแล้ว จะฟันกำไรจากหุ้นให้ดู
การทำเช่นนั้นมันเป็นทัศนคติที่ผิด และด่วนได้ไปหน่อย เพราะโลกนี่มันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ การทำเงิน จากตลาดหุ้นมันไม่ใช้ การหยิบเงินในอากาศ กว่าที่เราจะสร้างผลตอบแทนจริงๆ ที่คงที่และต่อเนื่องจากตลาดหุ้นได้นั้น ไม่ว่าจะลงทุนแนวไหน มันไม่ใช่เกิดขึ้นเพียง 1-2 สัปดาห์(แบบที่เรียนไม่นาน คุณก็เป็นมือโปร ทำเงินมากมายแบบนั้นแหกตา หลอกเอาเงินค่าเรียนเราครับ)
กว่าที่เราจะไปถึงจุดนั้นต้องผ่านการเพาะบ่ม การตกผลึก สร้างประสบการณ์หลายปี(5-10 ปีขึ้นไป) ต้องผ่านภาวะตลาดหุ้นในหลายรูปแบบ ผ่านจุดล้มเหลว จุดต่ำสุดของชีวิตการลงทุนไปก่อน ต้องเรียนรู้จากข้อผิดพลาดมากมาย ที่เกิดกับตัวเอง เพื่อให้มันเข้าใจถ่องแท้ ไอ้แบบที่บอกว่าเรียนรู้จากคนอื่น ตัวเองจะได้ไม่เจ็บ เอาเข้าจริงใช้ไม่ได้ครับ เพราะคุณอาจจะรู้ แต่ไม่เข้าใจ เหมือนฟังแต่ไม่ได้ยิน ไม่รู้ว่าทำไม สถานะการณ์แบบใด อารมณ์แบบใด ถึงพาเราไปตรงนั้น การได้ประสบกับตัวจะทำให้เราเข้าใจ และเรียนรู้ที่จะป้องกันมันได้ในอนาคต
ดังนั้นทุกอย่างมันมีเวลาเป็นของมันเอง อยากฝากไว้กับมือใหม่ พยายามลงทุนในการศึกษาเรียนรู้หุ้นให้มากๆ ทั้งเรียนรู้จากตำรา จากการพูดคุยกับคนที่มีประสบการณ์ และเรียนรู้จากตนเองจากข้อผิดพลาดในอดีต(อันนี้มาค่ามากที่สุด ดีกว่าไปเสียเงินอบรมแพงๆ )
จงอย่ารีบลืมสิ่งที่เราผิดแต่จงจดจำและหาทางแก้ไข จากนั้นจดบันทึกเป็นตำราของตัวเองไว้ เมื่อถึงวันหนึ่งวันที่เราเข้าใจทั้งหมด ก็เปรียบได้กับการที่เราสำเร็จการศึกษา ได้รับปริญญาจากตลาดหุ้น วินาทีนั้น เราจะรู้ได้เองว่าตัวเราเอาอยู่ เราเข้าใจและเอาตัวรอดจากตลาดหุ้นได้ โดยไม่ต้องให้ใครมา บอกเรา และสิ่งที่จะประจักษ์ ก็คือ ผลตอบแทน กำไรที่จะเข้ามาอย่างต่อเนื่อง อย่างชัดเจน ไม่ใช่การได้กำไรแบบบังเอิญเดาถูกและก็หมดไปในไม่กี่ครั้ง อยากฝากเรื่องนี้ไว้กับพี่น้องๆที่เป็นมือใหม่ในตลาดหุ้น ได้ลองคิดดูกันครับ