สมัยเด็กผมชอบดูหนังจีนกำลังภายในมาก โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับวัดเส้าหลิน จำได้ว่าพระวัดนี้ฝีมือยุทธ์ล้ำเลิศ ใครได้มาเรียนกังฟู ได้มาฝึกวิชาที่วัดนี้ จบไปถือว่าเป็นสุดยอดทั้งด้านฝีมือและคุณธรรม แต่แน่นอนว่ากว่าจะลงจากเขามาสู่จงหยวนได้ต้องผ่านด่านอรหันต์ทองคำหรือค่ายกลมนุษย์เส้าหลินในหอตั๊กม้อ ทดสอบฝีมือ ความอดทน แทบปางตาย ต้องพร้อมจริงๆทั้งร่างกายและจิตใจจึงสามารถจะสำเร็จออกไปได้ เมื่อผ่านแล้วยังต้องประทับตาเหล็กร้อนๆบนหลังเพื่อเป็นการันตีว่าได้สำเร็จวิชาชั้นเซียนจากวัดเส้าหลินแล้ว เปรียบดังชีวิตจริงถ้าอยากมีชื่อเสียง อยากให้คนยอมรับ เราก็ต้องเอาชนะด่านอรหันต์ทองคำ ให้ได้ก่อน ต้องผ่านการขัดเกลา ผ่านการหล่อหลอม ประสบการณ์และความสามารถ จนเป็นที่ยอมรับจากคนทั่วไป
บททดสอบที่ยากที่สุดคือการเอาชนะจิตใจของตัวเอง การเอาชนะใจของตัวเองคือการควบคุมจิตใจของเรา ให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ควรตามต้องการ มีสติสัมปชัญญะในการพิจารณาการปรุงแต่งของจิตใจที่ไหลไปตามสิ่งเล้าจากภายนอกและก่อให้เกิดอารมณ์ต่างๆ การเอาชนะจิตใจไม่ใช่การหลอกตัวเอง การหลอกตัวเองเปรียบประหนึ่งกับการเอากระดาษมาห่อไฟ อาจจะปิดบังเพื่อไม่ให้คนภายนอกมองเห็นได้ชั่วคราว แต่สุดท้ายแล้วกระดาษก็มิอาจจะต้านทานไฟที่แผดเผาได้อยู่ดี
ในสังคมนักลงทุนการแข่งขันกันมีอยู่ตลอดเวลา มีความต้องการจะเอาชนะและต้องการชื่อเสียง การที่เราคิดว่าตัวเองนั้นเก่งแล้วรู้แล้วก็เหมือนอัตตาที่มาปิดกั้นความสำเร็จ การจะถูกเรียกว่าเก่งได้นั้น ไม่ได้หมายความว่าเราเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นในตลาดมานานกว่าคนอื่นๆ หรือใช้กราฟเทคนิคอลเป็น แล้วก็จะกลายเป็นเซียน แต่การที่จะเก่งหรือจะเซียนนั้นหมายถึงการสั่งสมประสบการณ์จากความผิดพลาด การมั่นสังเกตจดจำรูปแบบ ปรากฏการณ์ในการใช้เครื่องมือ เพื่อสร้างองค์ความรู้เฉพาะตัว สำหรับวางแผนในซื้อขายหุ้นต่อไป
คนที่เก่ง ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นผู้ยั่งรู้ที่เดาอนาคตได้ ต้องรู้ว่าหุ้นตัวนั้นจะขึ้นหรือลง สามารถตอบคำถามฟันธงได้แม่นยำราวกับมีอิทธิฤิทธิ์ปราฏิหารย์ แต่คนเก่งต้องเข้าใจตนเอง รู้จักจริตของตนเอง ที่สำคัญต้องมองแนวโน้มราคาหุ้นและแนวโน้มตลาดออก(ไม่ใช่จำคนอื่นมาพูดอีกที) ต้องเข้าใจว่าเมื่อไหร่ควรเสี่ยง เมื่อไหร่ควรถอยหรือหมอบอยู่กับที่ อีกสิ่งที่ต้องตระหนักไว้คือ บนเส้นทางแห่งนี้ถ้าเราหยุดอยู่กับที่เราจะก็จะถูกคนอื่นๆที่ขยันกว่า ที่พยายามมากกว่าแซงหน้าตัวเราไป ซึ่งถ้าเราล้าหลังทุกๆคนนั้นหมายความว่า เราอาจจะมีโอกาสในการทำกำไรในตลาดหุ้นได้ยากกว่าคนอื่นๆ และสุดท้ายก็จะกลายเป็นปลาเล็กที่ถูกปลาใหญ่กิน
ดังนั้นการทนงตนว่าเก่ง การอยากให้ได้รับการยอมรับว่าเหนือผู้อื่น จึงไม่ใช่สาระสำคัญ การเดินทางไปสู่เป้าหมายสิ่งหนึ่งที่ควรต้องพกติดตัวตลอดการเดินทางก็คือ กำลังใจและความสุข การเดินทางไปสู่เป้าหมายถ้าต้องทำลายคนอื่น กดขี่ ดูถูก ดูหมิ่นคนอื่นๆ ถึงจะไปสู่เป้าหมายได้สำเร็จแต่ก็จะหาได้มีความสุขไม่ การเดินทางไปสู่เป้าหมาย ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเราสามารถมีความสุขกับทิวทรรศน์สองข้างทาง เรียนรู้เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาและสร้างมิตรภาพ สั่งสมกำลังใจ และแบ่งปันความรู้ ความหวัง และความสุข กับเพื่อนร่วมเดินทางได้เสมอ เพื่อสร้างตัวเองให้มีคุณค่าเหมาะสมที่จะได้รับทั้งความสำเร็จและความสุขเมื่อเราได้ไปถึงเป้าหมาย
สำหรับผมคำว่าเก่ง ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ผมไม่ใช่เซียน ไม่ใช่ผู้รู้ เป็นคนธรรมดาที่กำลังเดินทางไปยังตามเป้าหมายของตนเอง ซึ่งต้องเรียนรู้และฝึกฝนอีกมาก เส้นทางนี้ยังมีอีกหลายคนที่เก่งและมีความสามารถกว่าผมมากมาย หลายสิ่งที่ผมทำเช่นการได้ออกมาเขียนเรื่องราวแบ่งปันความรู้หรือประสบการณ์กับเพื่อนๆเป็นเพียงกิจกรรมหนึ่งในการเดินทางไปสู่เป้าหมายที่ตัวเองวางไว้เท่านั้น เพราะผมเชื่อว่าการไปถึงเป้าหมายไม่จำเป็นต้องเดินคนเดียวหรือเดินแข่งกับใคร ไม่ใช่ไปถึงให้ไวให้เร็วกว่าคนอื่น(ด้วยการกอดเอาวิชาความรู้ไว้กับตัว) เพื่อมาอวดอ้างหรือเอาชนะกัน การช่วยเหลือเกื้อกูลหรือการมีมิตรภาพระหว่างการเดินทางต่างหากเป็นสิ่งที่มีค่า และเป็นสิ่งที่น่าจดจำเมื่อเรามองกลับมาจากอนาคต ดังนั้นถ้าเพื่อนๆมีความรู้ มีประสบการณ์ ควรแบ่งปัน ให้กับผู้อื่นๆรอบตัวที่กำลังแชร์เส้นทางเดินไปสู้เป้าหมายเดียวกันกับเรา ขณะเดียวกันผู้รับก็ควรเรียนรู้ที่จะพัฒนาตนมาเป็นผู้ให้เพื่อแลกเปลี่ยนและเผยแพร่ เพื่อร่วมกันสร้างสังคมนักลงทุนที่ดีต่อไปครับ
บททดสอบที่ยากที่สุดคือการเอาชนะจิตใจของตัวเอง การเอาชนะใจของตัวเองคือการควบคุมจิตใจของเรา ให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ควรตามต้องการ มีสติสัมปชัญญะในการพิจารณาการปรุงแต่งของจิตใจที่ไหลไปตามสิ่งเล้าจากภายนอกและก่อให้เกิดอารมณ์ต่างๆ การเอาชนะจิตใจไม่ใช่การหลอกตัวเอง การหลอกตัวเองเปรียบประหนึ่งกับการเอากระดาษมาห่อไฟ อาจจะปิดบังเพื่อไม่ให้คนภายนอกมองเห็นได้ชั่วคราว แต่สุดท้ายแล้วกระดาษก็มิอาจจะต้านทานไฟที่แผดเผาได้อยู่ดี
ในสังคมนักลงทุนการแข่งขันกันมีอยู่ตลอดเวลา มีความต้องการจะเอาชนะและต้องการชื่อเสียง การที่เราคิดว่าตัวเองนั้นเก่งแล้วรู้แล้วก็เหมือนอัตตาที่มาปิดกั้นความสำเร็จ การจะถูกเรียกว่าเก่งได้นั้น ไม่ได้หมายความว่าเราเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นในตลาดมานานกว่าคนอื่นๆ หรือใช้กราฟเทคนิคอลเป็น แล้วก็จะกลายเป็นเซียน แต่การที่จะเก่งหรือจะเซียนนั้นหมายถึงการสั่งสมประสบการณ์จากความผิดพลาด การมั่นสังเกตจดจำรูปแบบ ปรากฏการณ์ในการใช้เครื่องมือ เพื่อสร้างองค์ความรู้เฉพาะตัว สำหรับวางแผนในซื้อขายหุ้นต่อไป
คนที่เก่ง ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นผู้ยั่งรู้ที่เดาอนาคตได้ ต้องรู้ว่าหุ้นตัวนั้นจะขึ้นหรือลง สามารถตอบคำถามฟันธงได้แม่นยำราวกับมีอิทธิฤิทธิ์ปราฏิหารย์ แต่คนเก่งต้องเข้าใจตนเอง รู้จักจริตของตนเอง ที่สำคัญต้องมองแนวโน้มราคาหุ้นและแนวโน้มตลาดออก(ไม่ใช่จำคนอื่นมาพูดอีกที) ต้องเข้าใจว่าเมื่อไหร่ควรเสี่ยง เมื่อไหร่ควรถอยหรือหมอบอยู่กับที่ อีกสิ่งที่ต้องตระหนักไว้คือ บนเส้นทางแห่งนี้ถ้าเราหยุดอยู่กับที่เราจะก็จะถูกคนอื่นๆที่ขยันกว่า ที่พยายามมากกว่าแซงหน้าตัวเราไป ซึ่งถ้าเราล้าหลังทุกๆคนนั้นหมายความว่า เราอาจจะมีโอกาสในการทำกำไรในตลาดหุ้นได้ยากกว่าคนอื่นๆ และสุดท้ายก็จะกลายเป็นปลาเล็กที่ถูกปลาใหญ่กิน
ดังนั้นการทนงตนว่าเก่ง การอยากให้ได้รับการยอมรับว่าเหนือผู้อื่น จึงไม่ใช่สาระสำคัญ การเดินทางไปสู่เป้าหมายสิ่งหนึ่งที่ควรต้องพกติดตัวตลอดการเดินทางก็คือ กำลังใจและความสุข การเดินทางไปสู่เป้าหมายถ้าต้องทำลายคนอื่น กดขี่ ดูถูก ดูหมิ่นคนอื่นๆ ถึงจะไปสู่เป้าหมายได้สำเร็จแต่ก็จะหาได้มีความสุขไม่ การเดินทางไปสู่เป้าหมาย ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเราสามารถมีความสุขกับทิวทรรศน์สองข้างทาง เรียนรู้เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาและสร้างมิตรภาพ สั่งสมกำลังใจ และแบ่งปันความรู้ ความหวัง และความสุข กับเพื่อนร่วมเดินทางได้เสมอ เพื่อสร้างตัวเองให้มีคุณค่าเหมาะสมที่จะได้รับทั้งความสำเร็จและความสุขเมื่อเราได้ไปถึงเป้าหมาย
สำหรับผมคำว่าเก่ง ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ผมไม่ใช่เซียน ไม่ใช่ผู้รู้ เป็นคนธรรมดาที่กำลังเดินทางไปยังตามเป้าหมายของตนเอง ซึ่งต้องเรียนรู้และฝึกฝนอีกมาก เส้นทางนี้ยังมีอีกหลายคนที่เก่งและมีความสามารถกว่าผมมากมาย หลายสิ่งที่ผมทำเช่นการได้ออกมาเขียนเรื่องราวแบ่งปันความรู้หรือประสบการณ์กับเพื่อนๆเป็นเพียงกิจกรรมหนึ่งในการเดินทางไปสู่เป้าหมายที่ตัวเองวางไว้เท่านั้น เพราะผมเชื่อว่าการไปถึงเป้าหมายไม่จำเป็นต้องเดินคนเดียวหรือเดินแข่งกับใคร ไม่ใช่ไปถึงให้ไวให้เร็วกว่าคนอื่น(ด้วยการกอดเอาวิชาความรู้ไว้กับตัว) เพื่อมาอวดอ้างหรือเอาชนะกัน การช่วยเหลือเกื้อกูลหรือการมีมิตรภาพระหว่างการเดินทางต่างหากเป็นสิ่งที่มีค่า และเป็นสิ่งที่น่าจดจำเมื่อเรามองกลับมาจากอนาคต ดังนั้นถ้าเพื่อนๆมีความรู้ มีประสบการณ์ ควรแบ่งปัน ให้กับผู้อื่นๆรอบตัวที่กำลังแชร์เส้นทางเดินไปสู้เป้าหมายเดียวกันกับเรา ขณะเดียวกันผู้รับก็ควรเรียนรู้ที่จะพัฒนาตนมาเป็นผู้ให้เพื่อแลกเปลี่ยนและเผยแพร่ เพื่อร่วมกันสร้างสังคมนักลงทุนที่ดีต่อไปครับ