ข้อแตกต่างระหว่างมือเก่ากับมือใหม่ในตลาดหุ้นคือ เรื่องของ "จิตใจ" คนส่วนใหญ่เมื่อย่างก้าวเข้ามาในตลาดหุ้น ก็เปรียบได้กับเด็กน้อยที่เข้าโรงเรียนในวันแรก อะไรมันก็ดูใหม่ อะไรก็ดูน่าตื่นเต้นมีเรื่องให้บีบหัวใจทุกวัน มือใหม่มักเน้นที่การศึกษาเรื่องของเครื่องมือ ในขณะที่มือเก่ามือเก๋าเน้นไปที่การศึกษาและพัฒนาเรื่องของจิตใจ เพราะจิตใจเป็นสิ่งสำคัญแต่ในมุมมองของมือใหม่แล้ว มักถูกอัตตาบดบังจนคิดว่าตัวเองเอาอยู่ รับมือกับมันได้ไม่มีปัญหา ทั้งที่แท้จริงแล้วกับตรงกันข้ามกับที่คิดไว้โดยสิ้นเชิง
จิตใจ เปรียบได้ประหนึ่งกับมือที่มองไม่เห็น สามารถดันเราให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้ ในขณะเดียวกันมันก็สามารถฉุดรั้ง กดเราให้ตกต่ำไปได้เช่นกัน การตัดสินใจใดๆที่เกี่ยวข้องกับเงิน ยิ่งจำนวนเงินมากเท่าไหร่ จิตใจ เราก็จะยิ่งมีผลมากเท่านั้น จิตใจที่ไม่นิ่ง ปราศจากการควบคุมหรือฝึกฝน มันก็จะถูกสิ่งเล้ากระตุ้นให้ไหลไปตามอารมณ์ในขณะนั้นได้เสมอ สุดท้ายแล้วเราก็จะกลายเป็นเหยื่อของคนที่ใช้จิตวิทยาในการชักจูงจิตใจเรา เป็นผู้พ่ายแพ้ต่ออารมณ์ โดยไม่รู้ตัวเพราะเมื่อจิตถูกชี้นำ สมองก็จะสร้างตรรกะ สร้างวิธีคิดที่ดูเหมือนจะเป็นเหตุเป็นผล เพื่อมาสนองตอบต่อจิตใจของเราในขณะนั้น
ความผันผวนของตลาด หรือความผันผวนของราคาหุ้น เป็นสิ่งเล้าอย่างดีต่อจิตใจ มือเก่าผู้มีประสบการณ์ ล้วนแต่ต้องผ่านการฝึกฝนการตอบสนองต่อสถานการณ์เหล่านั้น เพื่อให้เกิดการคิด วิเคราะห์ ประมวลผล เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิ์ภาพ ปราศจากการครอบงำของจิตใจ ผมยกตัวอย่างความผิดพลาดที่พบบ่อยๆ ยิ่งโดยเฉพาะตลาดดัชนีลดลงแรงแบบช่วงนี้ แมงเม่าชอบซื้อสวน เพราะคิดว่าตัวเองกล้าขณะที่คนอื่นกลัว วันนี้แดงพรุ่งนี้ต้องเขียว วันนี้ลงเยอะ พรุ่งนี้ต้องวิ่ง ผลปรากฏว่าหุ้นลงต่อ ลงแรงกว่าวันก่อนหน้า ผลคือติดดอยขาดทุนทันที แต่ไม่ขายเพราะคิดว่าหุ้นที่ตัวเองซื้อดี พื้นฐานดี ไม่มีทางขาดทุน หารู้ไม่ว่าถ้าตลาด crash เงินทุนไหลออกดัชนีปรับตัวลงอย่างแรง หุ้นพื้นฐานดีแค่ไหนถ้าอยู่ใน SET100 ก็จะไหลลงได้ตามดัชนี ถ้าปรับลงมากก็โดนมาก 20-30% ถึงเวลานั้น แมงเม่าเหล่านี้ก็จะซมซาน เพราะความกลัว ความวิตกยอมขายขาดทุน เมื่อขึ้นรอบใหม่ ความกลัวความขยาดก็จะทำให้พวกนี้ขายหมู เพราะกลัวจะไม่ได้กำไร ในขณะเดียวกันก็จะโลภไปเล่นหุ้นมหานิยม ไล่ซื้อเพราะคิดว่ามีเพื่อนซื้อเยอะ คนซื้อมากๆยังก็ต้องได้กำไร ผลก็คือโดนทุบติดดอยเหมือนเดิม
มือใหม่ที่ชอบใช้เทคนิคอลอ่านกราฟได้ ทนงตัวว่าเก่ง(กว่าหลายคนที่ใช้กราฟเทคนิคอลไม่เป็น) ก็หาใช่จะประสบความสำเร็จ คนกลุ่มนี้ถ้าปราศจากการฝึกเรื่องของจิตใจ ก็ล้มเหลวแบบหน้าชื่นอกตรม สามารถอ่านกราฟวิเคราะห์ได้เป็นฉากๆ แต่ลงทุนจริงกับไม่ทำกำไร เพราะตัวเองกลัวที่จะซื้อตามเครื่องมือที่วิเคราะห์ เพราะคิดว่ามีแต่ข่าวร้าย มีข่าวน่ากังวล ปัญหาวิกฤติการเงินยุโรป, ดาวน์โจนลบเยอะแนวโน้มลดลงเพราะปัญหาว่างงานที่สหรัฐ, ค่าเงินบาทอ่อน, ฝรั่งต่างชาติขายสุทธิมาสองวัน ราคาสูงกว่าเมื่อสองเดือนก่อนเยอะแล้ว, Offer หนามากวางขวางไว้แบบนี้ขึ้นยาก บลาๆๆๆ เหตุผลเหล่านั้นมันคือ จิตวิทยาที่เข้ามาครอบงำ จนทำให้เราอ่อนแอไม่สามารถซื้อขายไปตามระบบตามแผนที่วางไว้ หรือวิเคราะห์ได้ พอคิดได้ราคาก็ขึ้น ลงไปเยอะแล้ว สุดท้ายเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์ ก็เป็นแค่กระดาษชำระ ไม่มีประโยชน์ เพราะตัวเราได้พ่ายแพ้ต่อมือที่มองไม่เห็นนั้นคือ จิตใจ นั้นเอง
ถ้าคิดว่าตัวเองแน่ ตัวเองนิ่งและเอาอยู่ ลองทบทวนตัวเองดูครับว่าจากต้นปี 2554 มาถึงปัจจุบัน พฤษภาคม 2554 ช่วงเวลา 4 เดือนกว่าๆ เราได้กำไรจากหุ้นหรือจาก tfex กี่ % ดัชนี SET วิ่งจาก 1025 มาถึงจุดสูงสุดรอบ 10 ปีที่ 1247 ดัชนีพุ่งมา 222 จุดถ้าเล่น TFEX แล้วแพ้ได้น้อยกว่านี้ถือว่า ยังมีข้อบกพร่องอยู่ครับ หรือถ้าเล่นหุ้นแล้วกำไรยังไม่ถึง 22% ก็หมายความเรายังเป็นมือใหม่ที่ยังไปไม่ถึงดวงดาวเช่นกัน ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้จะถูกถูกใคร แต่ผมอยากให้ทุกท่านที่อ่านลองทบทวนและปรับปรุงการเล่นหรือการลงทุนของตัวเราเอง คุณจะพบเหมือนที่ผมเคยพบว่า ปัญหามันอยู่ที่ "จิตใจ" ไม่ใช่ตลาดหุ้น
ตลาดหุ้นไม่เคยหลอกเรา แต่จิตใจของเราต่างหากที่หลอกเราเอง ดังนั้นการศึกษาเทคนิคหรือเครื่องมือ เราไม่จำเป็นต้องไปใช้อะไรที่ซับซ้อนหรือยุ่งยากเพื่อจะมาเดาอนาคต ซึ่งมันไม่มีทางที่จะถูกต้องได้เสมอ สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเรื่องของความน่าจะเป็นที่ตัวเลขค่าหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่เราควรจะเน้นน่าจะเป็นเรื่องการบริหารจัดการเงินทุน ทำยังไงให้เหมาะสมกับตัวเรา และเรียนรู้พัฒนา ฝึกฝน เรื่องของจิตใจ ให้เราสามารถควบคุมจิตใจของเราให้ไปตามที่เราต้องการได้ ไม่ตกเป็นเหยื่อของอารมณ์ที่เกิดจากสิ่งเล้าที่เข้ามากระตุ้น หรือคล้อยไหวไปตามจิตวิทยาหมู่จากผู้คนในตลาดหุ้น เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถใช้มือที่มองไม่เห็นให้มาพลักดันตัวเราให้ก้าวไปสู้จุดหมายปลายทางได้ครับ
จิตใจ เปรียบได้ประหนึ่งกับมือที่มองไม่เห็น สามารถดันเราให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้ ในขณะเดียวกันมันก็สามารถฉุดรั้ง กดเราให้ตกต่ำไปได้เช่นกัน การตัดสินใจใดๆที่เกี่ยวข้องกับเงิน ยิ่งจำนวนเงินมากเท่าไหร่ จิตใจ เราก็จะยิ่งมีผลมากเท่านั้น จิตใจที่ไม่นิ่ง ปราศจากการควบคุมหรือฝึกฝน มันก็จะถูกสิ่งเล้ากระตุ้นให้ไหลไปตามอารมณ์ในขณะนั้นได้เสมอ สุดท้ายแล้วเราก็จะกลายเป็นเหยื่อของคนที่ใช้จิตวิทยาในการชักจูงจิตใจเรา เป็นผู้พ่ายแพ้ต่ออารมณ์ โดยไม่รู้ตัวเพราะเมื่อจิตถูกชี้นำ สมองก็จะสร้างตรรกะ สร้างวิธีคิดที่ดูเหมือนจะเป็นเหตุเป็นผล เพื่อมาสนองตอบต่อจิตใจของเราในขณะนั้น
ความผันผวนของตลาด หรือความผันผวนของราคาหุ้น เป็นสิ่งเล้าอย่างดีต่อจิตใจ มือเก่าผู้มีประสบการณ์ ล้วนแต่ต้องผ่านการฝึกฝนการตอบสนองต่อสถานการณ์เหล่านั้น เพื่อให้เกิดการคิด วิเคราะห์ ประมวลผล เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิ์ภาพ ปราศจากการครอบงำของจิตใจ ผมยกตัวอย่างความผิดพลาดที่พบบ่อยๆ ยิ่งโดยเฉพาะตลาดดัชนีลดลงแรงแบบช่วงนี้ แมงเม่าชอบซื้อสวน เพราะคิดว่าตัวเองกล้าขณะที่คนอื่นกลัว วันนี้แดงพรุ่งนี้ต้องเขียว วันนี้ลงเยอะ พรุ่งนี้ต้องวิ่ง ผลปรากฏว่าหุ้นลงต่อ ลงแรงกว่าวันก่อนหน้า ผลคือติดดอยขาดทุนทันที แต่ไม่ขายเพราะคิดว่าหุ้นที่ตัวเองซื้อดี พื้นฐานดี ไม่มีทางขาดทุน หารู้ไม่ว่าถ้าตลาด crash เงินทุนไหลออกดัชนีปรับตัวลงอย่างแรง หุ้นพื้นฐานดีแค่ไหนถ้าอยู่ใน SET100 ก็จะไหลลงได้ตามดัชนี ถ้าปรับลงมากก็โดนมาก 20-30% ถึงเวลานั้น แมงเม่าเหล่านี้ก็จะซมซาน เพราะความกลัว ความวิตกยอมขายขาดทุน เมื่อขึ้นรอบใหม่ ความกลัวความขยาดก็จะทำให้พวกนี้ขายหมู เพราะกลัวจะไม่ได้กำไร ในขณะเดียวกันก็จะโลภไปเล่นหุ้นมหานิยม ไล่ซื้อเพราะคิดว่ามีเพื่อนซื้อเยอะ คนซื้อมากๆยังก็ต้องได้กำไร ผลก็คือโดนทุบติดดอยเหมือนเดิม
มือใหม่ที่ชอบใช้เทคนิคอลอ่านกราฟได้ ทนงตัวว่าเก่ง(กว่าหลายคนที่ใช้กราฟเทคนิคอลไม่เป็น) ก็หาใช่จะประสบความสำเร็จ คนกลุ่มนี้ถ้าปราศจากการฝึกเรื่องของจิตใจ ก็ล้มเหลวแบบหน้าชื่นอกตรม สามารถอ่านกราฟวิเคราะห์ได้เป็นฉากๆ แต่ลงทุนจริงกับไม่ทำกำไร เพราะตัวเองกลัวที่จะซื้อตามเครื่องมือที่วิเคราะห์ เพราะคิดว่ามีแต่ข่าวร้าย มีข่าวน่ากังวล ปัญหาวิกฤติการเงินยุโรป, ดาวน์โจนลบเยอะแนวโน้มลดลงเพราะปัญหาว่างงานที่สหรัฐ, ค่าเงินบาทอ่อน, ฝรั่งต่างชาติขายสุทธิมาสองวัน ราคาสูงกว่าเมื่อสองเดือนก่อนเยอะแล้ว, Offer หนามากวางขวางไว้แบบนี้ขึ้นยาก บลาๆๆๆ เหตุผลเหล่านั้นมันคือ จิตวิทยาที่เข้ามาครอบงำ จนทำให้เราอ่อนแอไม่สามารถซื้อขายไปตามระบบตามแผนที่วางไว้ หรือวิเคราะห์ได้ พอคิดได้ราคาก็ขึ้น ลงไปเยอะแล้ว สุดท้ายเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์ ก็เป็นแค่กระดาษชำระ ไม่มีประโยชน์ เพราะตัวเราได้พ่ายแพ้ต่อมือที่มองไม่เห็นนั้นคือ จิตใจ นั้นเอง
ถ้าคิดว่าตัวเองแน่ ตัวเองนิ่งและเอาอยู่ ลองทบทวนตัวเองดูครับว่าจากต้นปี 2554 มาถึงปัจจุบัน พฤษภาคม 2554 ช่วงเวลา 4 เดือนกว่าๆ เราได้กำไรจากหุ้นหรือจาก tfex กี่ % ดัชนี SET วิ่งจาก 1025 มาถึงจุดสูงสุดรอบ 10 ปีที่ 1247 ดัชนีพุ่งมา 222 จุดถ้าเล่น TFEX แล้วแพ้ได้น้อยกว่านี้ถือว่า ยังมีข้อบกพร่องอยู่ครับ หรือถ้าเล่นหุ้นแล้วกำไรยังไม่ถึง 22% ก็หมายความเรายังเป็นมือใหม่ที่ยังไปไม่ถึงดวงดาวเช่นกัน ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้จะถูกถูกใคร แต่ผมอยากให้ทุกท่านที่อ่านลองทบทวนและปรับปรุงการเล่นหรือการลงทุนของตัวเราเอง คุณจะพบเหมือนที่ผมเคยพบว่า ปัญหามันอยู่ที่ "จิตใจ" ไม่ใช่ตลาดหุ้น
ตลาดหุ้นไม่เคยหลอกเรา แต่จิตใจของเราต่างหากที่หลอกเราเอง ดังนั้นการศึกษาเทคนิคหรือเครื่องมือ เราไม่จำเป็นต้องไปใช้อะไรที่ซับซ้อนหรือยุ่งยากเพื่อจะมาเดาอนาคต ซึ่งมันไม่มีทางที่จะถูกต้องได้เสมอ สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเรื่องของความน่าจะเป็นที่ตัวเลขค่าหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่เราควรจะเน้นน่าจะเป็นเรื่องการบริหารจัดการเงินทุน ทำยังไงให้เหมาะสมกับตัวเรา และเรียนรู้พัฒนา ฝึกฝน เรื่องของจิตใจ ให้เราสามารถควบคุมจิตใจของเราให้ไปตามที่เราต้องการได้ ไม่ตกเป็นเหยื่อของอารมณ์ที่เกิดจากสิ่งเล้าที่เข้ามากระตุ้น หรือคล้อยไหวไปตามจิตวิทยาหมู่จากผู้คนในตลาดหุ้น เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถใช้มือที่มองไม่เห็นให้มาพลักดันตัวเราให้ก้าวไปสู้จุดหมายปลายทางได้ครับ