สังคมมักตัดสินหรือให้ความสำคัญของคนที่ฐานะการเงิน รถ บ้าน เครื่องประดับ หน้าที่การงาน โดยเรามักมองคนที่มีวัตถุติดกายที่มีมูลค่ามากว่าเป็นคนพิเศษ ให้ความเกรงใจ หรือยอมรับมากกว่า คนที่มีสิ่งเหล่านั้นน้อยกว่า จนมันกายเป็นค่านิยมทางวัตถุที่เกาะกินใจของคนทั่วไป ก่อให้เกิดการปลูกฝังความต้องการทางวัตถุในคนทุกเพศทุกวัย
จนต่อมความอยากมี อยากได้มันเติบโต แซงหน้าต่อมจริยธรรมและสำนึกชั่วดี ทำให้เกิดปรากฏการณ์ความโลภแบบไร้ขีดจำกัดในสังคม ดังที่เราเห็นกันอยู่มากมายด้วยแรงขับดันจากความอยากได้ อยากมี หลงใน ยศ อำนาจและเงินทอง ด้วยความปราถนาที่จะเป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้างและคนในสังคม
คนชั้นกลาง ในสังคมที่โดนกระแสวัตถุพัดพาไปก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่วนเวียนอยู่ในค่านิยมนี้และโดนทำร้ายทางอ้อมอยู่เนืองๆ ดังที่เราจะเห็น คนเหล่านี้คือคนที่เป็นแรงงานให้กับนายทุนในระบบทุนนิยม เป็นมนุษย์เงินเดือนที่รับค่าแรง ตามงานที่ทำ และถูกหล่อหลอมให้เกิดการใช้จ่ายเกินตัวจากวัตถุนิยมรอบข้าง ถูกชักนำให้เกิดการก่อหนี้ที่มากกว่าการออม ผ่านการใช้งานบัตรเครดิต และการกู้เงินผ่านธนาคาร แล้วถูกกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันด้วยการสะสมทางวัตถุ ทั้งบ้าน รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ ผ่านการโฆษณาชวนเชื่อ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้เกิดการใช้เงินอย่างไม่จำกัดและเกินตัว ถึงแม้จะได้รับการเลื่อนขั้นมีเงินเดือนที่สูงขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายทางสังคมก็สูงขึ้นตาม
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่หลายคนไม่มีเงินออมหรือเงินเก็บที่เพียงพอ เพราะเงินที่ได้รับมาต้องถูกนำไปใช้ชำระค่าใช้จ่ายทางสังคมต่างๆ รวมทั้งชำระค่าหนี้บัตรเครดิต เราจึงไม่สามารถหลุดพ้นจากวัฏจักรมนุษย์เงินเดือนไปได้ ไม่สามารถหลุดพ้นจากการต้องทำงานหนัก ทำงานที่ไม่ได้รักเพียงเพื่อ เสพความสุขจากวันที่เงินเดือนออกช่วงสิ้นเดือน
ถ้าโชคร้ายเกิดเจ็บป่วย ไม่สามารถใช้แรงใช้สมองทำงานแลกเงินมาได้ คุณก็จะถูกลงโทษด้วยการเลิกจ้าง และเมื่อนั้นภาระหนี้สินจากความฟุ้งเฟ้อในสังคมก็จะหล่นทับคุณ ค่าผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ค่าบัตรเครดิต ค่าเงินกู้ธนาคาร ค่าเทอม์ลูก ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าเคเบิ้ลทีวี ค่าฟิตเนต(ที่สมัครไว้แต่ไปปีละไม่กี่หน) และอื่นๆ คนจะกลายเป็นคนที่ขาดสภาพคล่อง และเมื่อนั้นความทุกข์ก็จะถาโถมเข้ามา
การใช้ชีวิตนอกกรอบ กรอบของสังคมวัตถุนิยมจึงเป็นความจำเป็นที่ เราน่าจะเรียนรู้ การใช้ชีวิตไม่ติดกับวัตถุไม่ใช้จ่ายเกินตัว ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นทางสังคม ตัดค่าใช้จ่ายจากการซื้อวัตถุตามใจอยาก ซื้อเพราะต้องการเอาชนะคนอื่นๆ เดินทางสายกลางตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง สะสมและออมเงิน
เมื่อวันหนึ่งเรามีมากพอ คุณก็จะสามารถลุกขึ้นทำตามความฝันของตัวเองได้ เพราะมีคนเพียงแต่ 20% เท่านั้นที่ได้ทำงานที่ตนเองรัก ส่วนอีก 80% ทำงานที่ตัวเองไม่อยากทำ บางคนทนทุกข์เอาหัวตากแอร์ ฟังเจ้านายด่า ฟังลูกค้าบ่น ทนเพื่อนร่วมงานเอาเปรียบก็เพราะไม่อยากตกงาน ดังนั้นถ้าเรามีเงินออมที่มากเราก็จะสามารถออกจากกรอบนี้ได้ เพื่อไปทำงานตามความฝัน ทำงานที่เราสามารถตื่นขึ้นมาทำได้ด้วยความสุขทุกเช้า ทำงานที่สนองความอยาก ความต้องการทางจิตใจ ใช้ชีวิตอยู่ได้แบบพอเพียงตามเงินที่มีในกระเป๋า
ถึงแม้จะไม่โก้หรู ฟุ้งเฟ้อ ถึงแม้จะเหนื่อย จะลำบาก แต่เชื่อเถอะครับว่า การได้ทำในสิ่งที่เรารัก ความสุขที่เราได้สัมผ้สนั้นมันยิ่งใหญ่เกินจะบรรยายได้จริงๆ ดังนั้นลองมาแหกกรอบ ออกมาอยู่ข้างนอกกระแสสังคม ออกมาใช้ชีวิตแบบพอเพียง ใช้ชีวิตที่ติดกับวัตถุน้อยๆ แต่มีความสุขมากๆกันดีกว่าครับ
จนต่อมความอยากมี อยากได้มันเติบโต แซงหน้าต่อมจริยธรรมและสำนึกชั่วดี ทำให้เกิดปรากฏการณ์ความโลภแบบไร้ขีดจำกัดในสังคม ดังที่เราเห็นกันอยู่มากมายด้วยแรงขับดันจากความอยากได้ อยากมี หลงใน ยศ อำนาจและเงินทอง ด้วยความปราถนาที่จะเป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้างและคนในสังคม
คนชั้นกลาง ในสังคมที่โดนกระแสวัตถุพัดพาไปก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่วนเวียนอยู่ในค่านิยมนี้และโดนทำร้ายทางอ้อมอยู่เนืองๆ ดังที่เราจะเห็น คนเหล่านี้คือคนที่เป็นแรงงานให้กับนายทุนในระบบทุนนิยม เป็นมนุษย์เงินเดือนที่รับค่าแรง ตามงานที่ทำ และถูกหล่อหลอมให้เกิดการใช้จ่ายเกินตัวจากวัตถุนิยมรอบข้าง ถูกชักนำให้เกิดการก่อหนี้ที่มากกว่าการออม ผ่านการใช้งานบัตรเครดิต และการกู้เงินผ่านธนาคาร แล้วถูกกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันด้วยการสะสมทางวัตถุ ทั้งบ้าน รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ ผ่านการโฆษณาชวนเชื่อ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้เกิดการใช้เงินอย่างไม่จำกัดและเกินตัว ถึงแม้จะได้รับการเลื่อนขั้นมีเงินเดือนที่สูงขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายทางสังคมก็สูงขึ้นตาม
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่หลายคนไม่มีเงินออมหรือเงินเก็บที่เพียงพอ เพราะเงินที่ได้รับมาต้องถูกนำไปใช้ชำระค่าใช้จ่ายทางสังคมต่างๆ รวมทั้งชำระค่าหนี้บัตรเครดิต เราจึงไม่สามารถหลุดพ้นจากวัฏจักรมนุษย์เงินเดือนไปได้ ไม่สามารถหลุดพ้นจากการต้องทำงานหนัก ทำงานที่ไม่ได้รักเพียงเพื่อ เสพความสุขจากวันที่เงินเดือนออกช่วงสิ้นเดือน
ถ้าโชคร้ายเกิดเจ็บป่วย ไม่สามารถใช้แรงใช้สมองทำงานแลกเงินมาได้ คุณก็จะถูกลงโทษด้วยการเลิกจ้าง และเมื่อนั้นภาระหนี้สินจากความฟุ้งเฟ้อในสังคมก็จะหล่นทับคุณ ค่าผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ค่าบัตรเครดิต ค่าเงินกู้ธนาคาร ค่าเทอม์ลูก ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าเคเบิ้ลทีวี ค่าฟิตเนต(ที่สมัครไว้แต่ไปปีละไม่กี่หน) และอื่นๆ คนจะกลายเป็นคนที่ขาดสภาพคล่อง และเมื่อนั้นความทุกข์ก็จะถาโถมเข้ามา
การใช้ชีวิตนอกกรอบ กรอบของสังคมวัตถุนิยมจึงเป็นความจำเป็นที่ เราน่าจะเรียนรู้ การใช้ชีวิตไม่ติดกับวัตถุไม่ใช้จ่ายเกินตัว ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นทางสังคม ตัดค่าใช้จ่ายจากการซื้อวัตถุตามใจอยาก ซื้อเพราะต้องการเอาชนะคนอื่นๆ เดินทางสายกลางตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง สะสมและออมเงิน
เมื่อวันหนึ่งเรามีมากพอ คุณก็จะสามารถลุกขึ้นทำตามความฝันของตัวเองได้ เพราะมีคนเพียงแต่ 20% เท่านั้นที่ได้ทำงานที่ตนเองรัก ส่วนอีก 80% ทำงานที่ตัวเองไม่อยากทำ บางคนทนทุกข์เอาหัวตากแอร์ ฟังเจ้านายด่า ฟังลูกค้าบ่น ทนเพื่อนร่วมงานเอาเปรียบก็เพราะไม่อยากตกงาน ดังนั้นถ้าเรามีเงินออมที่มากเราก็จะสามารถออกจากกรอบนี้ได้ เพื่อไปทำงานตามความฝัน ทำงานที่เราสามารถตื่นขึ้นมาทำได้ด้วยความสุขทุกเช้า ทำงานที่สนองความอยาก ความต้องการทางจิตใจ ใช้ชีวิตอยู่ได้แบบพอเพียงตามเงินที่มีในกระเป๋า
ถึงแม้จะไม่โก้หรู ฟุ้งเฟ้อ ถึงแม้จะเหนื่อย จะลำบาก แต่เชื่อเถอะครับว่า การได้ทำในสิ่งที่เรารัก ความสุขที่เราได้สัมผ้สนั้นมันยิ่งใหญ่เกินจะบรรยายได้จริงๆ ดังนั้นลองมาแหกกรอบ ออกมาอยู่ข้างนอกกระแสสังคม ออกมาใช้ชีวิตแบบพอเพียง ใช้ชีวิตที่ติดกับวัตถุน้อยๆ แต่มีความสุขมากๆกันดีกว่าครับ