ต้องยอมรับว่าข่าวนั้นมีผลโดยตรงต่อตลาดหุ้นเสมอมา โดยตลาดหุ้นจัดเป็นที่หนึ่งที่มีความอ่อนไหวและไวต่อข่าวต่างๆที่มากระทบ เนื่องจากข่าวนั้นย่อมมีผลต่อจิตวิทยาของนักลงทุน
ผลก็คือทำให้ราคาหุ้นนั้นอ่อนไหวไปตามทิศทางของข่าว ซึ่งมีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ดังจากที่เราเห็นกันมาก่อนหน้ามากมายเช่น ทั้งช่วงที่มีการปล่อยข่าวอัปมงคลในเดือน ตุลาคมปี 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ดัชนีรูดไปเกือบ 16% ในสองวันทำการ หรือช่วงที่มีการตัดสินยุบพรรคประชาธิปัตย์ และข่าวที่คลาสสิกสุดๆของตลาดหุ้นไทยคือ ข่าวลือเรื่องปฏิวัติ
วันนี้จะนำประเด็นเรื่องของข่าวมาเล่าให้ฟัง แต่ผมไม่ได้เน้นไปที่ข่าวลือ ข่าวปล่อย ที่มีผลทำให้ตลาด Panic แต่ผมจะขอมุ่งไปที่ข่าวสารทั่วไปที่เราชอบอ่านกันทุกวันนี้แหละ ประเภทข่าวดีทางบวก สืบเนื่องจากประเด็นที่ผมพูดคุยกับเพื่อนๆหลายคน มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนคิดเหมือนกันคือ "การเล่นหุ้นตามข่าว" แนวคิดง่ายๆคือเมื่อบริษัทมีข่าวดี ราคาหุ้นต้องเพิ่มขึ้น ดังนั้นนักลงทุนจึงชอบเข้าไปเก็งกำไร หรือซื้อหุ้นตามข่าวที่ออกมา ข่าวประเภทนี้ ได้แก่ ข่าวผลประกอบการดีขึ้น, ข่าวการขยายธุรกิจ, ข่าวเรื่องราคาสินค้าและบริการปรับขึ้น, ข่าวการสนใจร่วมลงทุนจากต่างชาติ, ข่าวการควบรวมกิจการ เป็นต้น
เล่นหุ้นตามข่าว
แนวคิดการลงทุนในหุ้นที่มีข่าวดีเป็นเรื่องที่มีมานานแล้วครับ ผมเองก็เคยถูกเป่าหูจาก รุ่นพี่และมาร์ ว่าถ้าหุ้นมีข่าวดี มันจะวิ่งรับข่าว การซื้อหุ้นตามข่าวจะทำให้รวย แต่ความเป็นจริงกับตรงข้าม หุ้นรายตัวที่มีข่าว่าดี กูรูก็เชียร์ มีแต่คนพูดถึง จนเรารู้สึกมั่นใจ(เห็นมั๊ย มีผลต่อจิตวิทยาแล้ว) พอซื้อปุ๊บวิ่งได้ไม่นาน วันสองวัน บวกซะ 2-3% ก็วิ่งลงแบบชนิดที่เรียกว่าใจหาย หรือไม่ก็จอดนิ่งค้างปีสีกะชาติ
เอ๊ะแล้วไอ้ข่าวที่ว่ามันไม่จริงหรือ??? นั้นเป็นคำถามแรกที่ผมคิด แต่เมื่อลองหาข้อมูลสอบถามจาก คนที่รู้จักหลายคนก็บอกว่าเป็นจริง เพราะมีการตีข่าวลงหนังสือพิมพ์และออกโทรทัศน์ด้วย แล้วทำไมเราซื้อหุ้นตามข่าวแล้วถึงขาดทุน
เจาะกระแสข่าวเด่น
ถ้าพิจารณาดีๆแยก สาเหตุของการซื้อหุ้นตามข่าวแล้วขาดทุนได้สองประเด็นคือ
1. ข่าวนั้นออกมาช้ากว่าราคา ราคาหุ้นได้สนองตอบกับข่าวดีไปมากแล้ว มีคนคาดเดาทางหรือรู้ข่าวได้ซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรไว้แล้ว (โอ้แม่เจ้า ทำไมมันไม่มีหมายเหตุบอกตูก่อนฟ่ะ ) ดังนั้นเมื่อข่าวลงหนังสือพิมพ์ หรือเมื่อมีการเผยแพร่สู่วงนอก เมื่อมีแมงเม่าวงนอกแห่มาซื้อ หุ้นเลยถูกรินขายทำกำไร ส่งผลให้เกิดการปรับตัวลดลงของราคา จนทำให้แมงเม่าแบบเราๆท่านๆขาดทุนกันไป ส่วนรายใหญ่ที่สะสมหุ้นก็อ้วนพี
2. ข่าวนั้นมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนน้อยเกินไปจน ไม่มีผลทางบวกตามที่เราคาดหวัง หรือเรียกอีกอย่างว่า นักลงทุนคาดหวังกับข่าวมากจนเกินไป แต่รายใหญ่ หรือคนส่วนน้อยที่มีทุนมาก นั้นไม่ได้ให้น้ำหนักมากด้วย
3. ข่าวนั้นเป็นข่าวดี ที่เป็นเหตุเป็นผลที่กูรูหรือเซียนแนะนำให้เก็บสะสม แต่มันจะเห็นผล หรือส่งผลเป็นบวกในระยะยาวนะ ไม่ใช้สองสามเดือนนี้ พอเชียร์พอปรับราคาเป้าหมาย แมงเม่าก็ไปตีความกันว่าราคาจะต้องขึ้น ต้องวิ่งทันทีทันใด
ดังนั้นการตื่นเช้า มารีบเปิดหนังสือพิมพ์เพื่อ จดรายชื่อหุ้นไปซื้อ หรือการโทรเช็คข่าวจากมาร์เรื่องหุ้นเด็ด หุ้นกระแสนิยม หุ้นเล่นข่าว อาจจะไม่ได้ทำให้เรารวยเพราะการเกาะกระแสไม่ตกรถอย่างที่เข้าใจกันมาก็เป็นได้ ตัวอย่างที่ผมเจอประจำ มีอาแปะชอบจดรายชื่อหุ้นที่มีข่าว ตามแพงหนังสือพิมพ์ ไปซื้อ เทพมากไม่อ่านเนื้อหาด้วย ดูแต่พาดหัวเรื่อง ที่สำคัญลดต้นทุนด้วยการอ่านอย่างเดียว ไม่ซื้อหนังสือพิมพ์อีกต่างหาก ถ้าแกประสบความสำเร็จสักครึ่งที่แกใช้วิธีนี้ ผมว่าแกคงจะอุดหนุนหนังสือพิมพ์ไปนั่งอ่านที่บ้านสบายๆไปแล้ว
การทดลอง
รูปแบบและเงื่อนไข
ผมเองมีตัวอย่างการทดลองมาฝากเพื่อนๆนักลงทุนด้วย เพื่อให้เห็นว่าแนวคิดการซื้อหุ้นตามข่าว ถ้าทำจริงจะรวยได้ไหม โดยผมได้ทดลองดังนี้
- ทำการซื้อหุ้น ทุกวันจันทร์ จำนวน 10 ตัวจำนวนเท่ากันคือ 5000 หุ้น
เงื่อนไขเลือกหุ้น : หุ้นทั้ง 10 ตัวนั้นจะเป็นหุ้นที่มีข่าวดีและลงพาดหัวในคอลัมภ์ข่าวหุ้นบนหนังสือพิมพ์อย่างน้อยจำนวน 2 ฉบับ
- ขายหุ้น เมื่อสิ้นสัปดาห์ ระยะเวลาถือครอง 5 วัน เพื่อดูผลกำไรขาดทุน
โดยผมได้ทดลองเป็นเวลา 3 สัปดาห์ในช่วงเดือน มค. ที่ผ่านมา โดยผลทดลองเป็นดังนี้ครับ
1. จันทร์ที่ 17-01-2554
ผลก็คือทำให้ราคาหุ้นนั้นอ่อนไหวไปตามทิศทางของข่าว ซึ่งมีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ดังจากที่เราเห็นกันมาก่อนหน้ามากมายเช่น ทั้งช่วงที่มีการปล่อยข่าวอัปมงคลในเดือน ตุลาคมปี 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ดัชนีรูดไปเกือบ 16% ในสองวันทำการ หรือช่วงที่มีการตัดสินยุบพรรคประชาธิปัตย์ และข่าวที่คลาสสิกสุดๆของตลาดหุ้นไทยคือ ข่าวลือเรื่องปฏิวัติ
วันนี้จะนำประเด็นเรื่องของข่าวมาเล่าให้ฟัง แต่ผมไม่ได้เน้นไปที่ข่าวลือ ข่าวปล่อย ที่มีผลทำให้ตลาด Panic แต่ผมจะขอมุ่งไปที่ข่าวสารทั่วไปที่เราชอบอ่านกันทุกวันนี้แหละ ประเภทข่าวดีทางบวก สืบเนื่องจากประเด็นที่ผมพูดคุยกับเพื่อนๆหลายคน มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนคิดเหมือนกันคือ "การเล่นหุ้นตามข่าว" แนวคิดง่ายๆคือเมื่อบริษัทมีข่าวดี ราคาหุ้นต้องเพิ่มขึ้น ดังนั้นนักลงทุนจึงชอบเข้าไปเก็งกำไร หรือซื้อหุ้นตามข่าวที่ออกมา ข่าวประเภทนี้ ได้แก่ ข่าวผลประกอบการดีขึ้น, ข่าวการขยายธุรกิจ, ข่าวเรื่องราคาสินค้าและบริการปรับขึ้น, ข่าวการสนใจร่วมลงทุนจากต่างชาติ, ข่าวการควบรวมกิจการ เป็นต้น
เล่นหุ้นตามข่าว
แนวคิดการลงทุนในหุ้นที่มีข่าวดีเป็นเรื่องที่มีมานานแล้วครับ ผมเองก็เคยถูกเป่าหูจาก รุ่นพี่และมาร์ ว่าถ้าหุ้นมีข่าวดี มันจะวิ่งรับข่าว การซื้อหุ้นตามข่าวจะทำให้รวย แต่ความเป็นจริงกับตรงข้าม หุ้นรายตัวที่มีข่าว่าดี กูรูก็เชียร์ มีแต่คนพูดถึง จนเรารู้สึกมั่นใจ(เห็นมั๊ย มีผลต่อจิตวิทยาแล้ว) พอซื้อปุ๊บวิ่งได้ไม่นาน วันสองวัน บวกซะ 2-3% ก็วิ่งลงแบบชนิดที่เรียกว่าใจหาย หรือไม่ก็จอดนิ่งค้างปีสีกะชาติ
เอ๊ะแล้วไอ้ข่าวที่ว่ามันไม่จริงหรือ??? นั้นเป็นคำถามแรกที่ผมคิด แต่เมื่อลองหาข้อมูลสอบถามจาก คนที่รู้จักหลายคนก็บอกว่าเป็นจริง เพราะมีการตีข่าวลงหนังสือพิมพ์และออกโทรทัศน์ด้วย แล้วทำไมเราซื้อหุ้นตามข่าวแล้วถึงขาดทุน
เจาะกระแสข่าวเด่น
ถ้าพิจารณาดีๆแยก สาเหตุของการซื้อหุ้นตามข่าวแล้วขาดทุนได้สองประเด็นคือ
1. ข่าวนั้นออกมาช้ากว่าราคา ราคาหุ้นได้สนองตอบกับข่าวดีไปมากแล้ว มีคนคาดเดาทางหรือรู้ข่าวได้ซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรไว้แล้ว (โอ้แม่เจ้า ทำไมมันไม่มีหมายเหตุบอกตูก่อนฟ่ะ ) ดังนั้นเมื่อข่าวลงหนังสือพิมพ์ หรือเมื่อมีการเผยแพร่สู่วงนอก เมื่อมีแมงเม่าวงนอกแห่มาซื้อ หุ้นเลยถูกรินขายทำกำไร ส่งผลให้เกิดการปรับตัวลดลงของราคา จนทำให้แมงเม่าแบบเราๆท่านๆขาดทุนกันไป ส่วนรายใหญ่ที่สะสมหุ้นก็อ้วนพี
2. ข่าวนั้นมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนน้อยเกินไปจน ไม่มีผลทางบวกตามที่เราคาดหวัง หรือเรียกอีกอย่างว่า นักลงทุนคาดหวังกับข่าวมากจนเกินไป แต่รายใหญ่ หรือคนส่วนน้อยที่มีทุนมาก นั้นไม่ได้ให้น้ำหนักมากด้วย
3. ข่าวนั้นเป็นข่าวดี ที่เป็นเหตุเป็นผลที่กูรูหรือเซียนแนะนำให้เก็บสะสม แต่มันจะเห็นผล หรือส่งผลเป็นบวกในระยะยาวนะ ไม่ใช้สองสามเดือนนี้ พอเชียร์พอปรับราคาเป้าหมาย แมงเม่าก็ไปตีความกันว่าราคาจะต้องขึ้น ต้องวิ่งทันทีทันใด
ดังนั้นการตื่นเช้า มารีบเปิดหนังสือพิมพ์เพื่อ จดรายชื่อหุ้นไปซื้อ หรือการโทรเช็คข่าวจากมาร์เรื่องหุ้นเด็ด หุ้นกระแสนิยม หุ้นเล่นข่าว อาจจะไม่ได้ทำให้เรารวยเพราะการเกาะกระแสไม่ตกรถอย่างที่เข้าใจกันมาก็เป็นได้ ตัวอย่างที่ผมเจอประจำ มีอาแปะชอบจดรายชื่อหุ้นที่มีข่าว ตามแพงหนังสือพิมพ์ ไปซื้อ เทพมากไม่อ่านเนื้อหาด้วย ดูแต่พาดหัวเรื่อง ที่สำคัญลดต้นทุนด้วยการอ่านอย่างเดียว ไม่ซื้อหนังสือพิมพ์อีกต่างหาก ถ้าแกประสบความสำเร็จสักครึ่งที่แกใช้วิธีนี้ ผมว่าแกคงจะอุดหนุนหนังสือพิมพ์ไปนั่งอ่านที่บ้านสบายๆไปแล้ว
การทดลอง
รูปแบบและเงื่อนไข
ผมเองมีตัวอย่างการทดลองมาฝากเพื่อนๆนักลงทุนด้วย เพื่อให้เห็นว่าแนวคิดการซื้อหุ้นตามข่าว ถ้าทำจริงจะรวยได้ไหม โดยผมได้ทดลองดังนี้
- ทำการซื้อหุ้น ทุกวันจันทร์ จำนวน 10 ตัวจำนวนเท่ากันคือ 5000 หุ้น
เงื่อนไขเลือกหุ้น : หุ้นทั้ง 10 ตัวนั้นจะเป็นหุ้นที่มีข่าวดีและลงพาดหัวในคอลัมภ์ข่าวหุ้นบนหนังสือพิมพ์อย่างน้อยจำนวน 2 ฉบับ
- ขายหุ้น เมื่อสิ้นสัปดาห์ ระยะเวลาถือครอง 5 วัน เพื่อดูผลกำไรขาดทุน
โดยผมได้ทดลองเป็นเวลา 3 สัปดาห์ในช่วงเดือน มค. ที่ผ่านมา โดยผลทดลองเป็นดังนี้ครับ
1. จันทร์ที่ 17-01-2554
ตัวอย่างข่าวหุ้น 17-01-2554 จาก S2M
รูปการทดลองเทรด ซื้อหุ้น 10 ตัวและขายตอนเย็นวันศุกร์ที่ 21-01-2554
กรณีที่ Buy&Hold จาก 17-01-2554 ถึง 07-01-2554(12.30)
2. จันทร์ที่ 24-01-2554
ตัวอย่างข่าวหุ้น 24-01-2554 จาก S2M
รูปการทดลองเทรด ซื้อหุ้น 10 ตัวและขายตอนเย็นวันศุกร์ที่ 28-01-2554
กรณีที่ Buy&Hold จาก 24-01-2554 ถึง 07-01-2554(12.30)
3. จันทร์ที่ 31-01-2554
ตัวอย่างข่าวหุ้น 31-01-2554 จาก S2M
รูปการทดลองเทรด ซื้อหุ้น 10 ตัวและขายตอนเย็นวันศุกร์ที่ 04-02-2554
กรณีที่ Buy&Hold จาก 31-01-2554 ถึง 07-01-2554(12.30)
สรุปผลการทดลอง
จากผลการทดลองจะพบว่า
ครั้งที่ 1 วันที่ 17-01-2554
- กรณีขายวันที่ 21-01-2554 ผลปรากฏว่า ขาดทุน 5.50% (กำไร 3 ตัวขาดทุน 7 ตัว)
- กรณีถือยาวมาถึง 07-02-2554 ผลปรากฏว่า ขาดทุน 9.86% (กำไร 1 ตัวขาดทุน 9 ตัว)
ครั้งที่ 2 วันที่ 24-01-2554
- กรณีขายวันที่ 28-01-2554 ผลปรากฏว่า ขาดทุน 1.46% (กำไร 2 ตัวขาดทุน 8 ตัว)
- กรณีถือยาวมาถึง 07-02-2554 ผลปรากฏว่า กำไร 2.07% (กำไร 1 ตัวขาดทุน 9 ตัว) จาก PTTEP ตัวเดียวเท่านั้น
ครั้งที่ 3 วันที่ 31-01-2554
- กรณีขายวันที่ 04-02-2554 ผลปรากฏว่า ขาดทุน 0.94% (กำไร 3 ตัวขาดทุน 7 ตัว)
- กรณีถือยาวมาถึง 07-02-2554 ผลปรากฏว่า ขาดทุน 1.49% (กำไร 2 ตัวขาดทุน 8 ตัว)
จากการทดลองจะพบว่าจำนวนที่ขาดทุนมากกว่ากำไร เกินกว่า 60% มีครั้งที่สองที่ Buy and Hold ชนะเพราะ PTTEP ที่มีข่าวการอนุญาติให้ดำเนินกิจการต่อ ทำให้ระยะเวลา 3 สัปดาห์ราคาบวกขึ้นถึง 10%
สรุป
1. ผมไม่ได้แนะนำว่า เราควรเลิกอ่านข่าวหรือติดตามข่าวนะครับ(เดี่ยวเว็บไซต์หรือหนังสือพิมพ์จะมาด่าผม) แต่ใจความที่จะบอกคือ เราไม่ควรนำข่าวมาเป็นเงื่อนไขหลักในการตัดสินใจ ซื้อ หรือขายหุ้น เราสามารถใช้ข่าวประกอบได้ แต่แน่นอนว่าเงื่อนไขหลัก ควรมาจากการวิเคราะห์ทางพื้นฐาน หรือการวิเคราะห์ทางเทคนิค การเล่นหุ้นตามกระแส win/loss ratio นั้นต่ำมากโอกาสแพ้ ขาดทุนมีมากกว่าชนะ
แม้แต่การเก็งกำไร สายเทคนิคอล ยังไม่ให้ความสำคัญเรื่องของข่าวมากนัก โดยเฉพาะข่าววงนอกจากหนังสือพิมพ์ เพราะถือว่าค่อนข้างช้า ราคาได้ตอบสนองไปแล้ว การกำหนดสัญญาณซื้อ ขายจะไม่นำเอาข่าวมาร่วมตัดสินใจ แต่ข่าวสามารถใช้ยืนยัน คุณภาพของเทรนด์ หรือยืนยันการทำงานของระบบเทรดได้
ทุกวันนี้ผมยังอ่านข่าว แต่ไม่รีบร้อนต้องอ่านก่อนตลาดเปิดเพราะไม่ได้มีผลอะไร ผมอ่านข่าวเพื่อใช้ประกอบการวิเคราะห์โอกาส ทางธุรกิจของบริษัทมากกว่าจะนำมาเก็งกำไร
2. เมื่ออ่านข่าวต้องเข้าใจ และอย่าดูแต่ชื่อหุ้นเท่านั้น ควรอ่านรายละเอียดให้ครบแยกให้ออกว่าข่าวนั้น เป็นข่าวประเภทใด เพราะข่าวแต่ละประเภทมีผลต่อราคาหุ้นที่ต่างกัน เช่น
ข่าวเศรษฐกิจ>>ข่าวระดับอุตสาหกรรม>>ข่าวระดับบริษัท
นอกจากนี้ควรประเมิน ระยะเวลาที่ข่าวจะมีผลทั้งด้านดี ด้านร้ายกับตัวบริษัทให้ออก ว่าเป็นระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว เพื่อใช้ในการตัดสินใจวางแผนการลงทุน
3. ข่าวมันมีผลต่อจิตวิทยา บางครั้งมีการใช้ข่าวเป็นเครื่องในการสร้างราคา หรือกำหนดทิศทางราคาได้ ดังนั้น อ่านข่าวต้องคิดและใช้วิจารณญาณ อย่ารีบตัดสินใจซื้อ ขายจากข่าวที่ได้อ่านเพียงอย่างเดียว
4. อย่าเล่นหุ้น ตามข่าว ตามกระแส เพราะมันไม่สามารถทำให้เรารวยแบบยั่งยืน ท่านอาจจะโชคดีบางครั้ง แต่โอกาสจะขาดทุนนั้นมีมาก ข่าวที่เรารู้พร้อมนักลงทุนคนอื่นๆ นั้น เป็นข่าวทั่วไปที่มีผลต่อราคาไปแล้ว ไม่มากก็น้อย ดังนั้นการหวังว่าเมื่อซื้อแล้วหุ้นจะขึ้น สนองตอบกับข่าว อาจจะไม่เป็นจริงเสมอไป
แมงเม่าชอบเล่นหุ้นตามข่าวเพราะความคิดผิดๆที่ว่า
1. ถ้าขาดทุนแล้วมีเพื่อนขาดทุนไม่เป็นไร ปกติ
2. ถ้าไม่ซื้อ แล้วตกขบวนรถ ตกกระแส ถือว่าโง่อายเพื่อน อายมาร์ ขาดทุนไม่ว่า ขออย่าตกเทรนด์
3. หนูบอกพี่แล้ว พี่ไม่เชื่อ รีบซื้อ ขายตามมาร์แนะนำ โทรไปอ้อน โทรไปชวน
ถ้าอยากไม่ขาดทุนและอยู่ในตลาดหุ้นแบบยั่งยืน เราต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดและทรรศนคติใหม่ครับ หวังว่าบทความนี้จะทำให้ท่านตาสว่าง และร่ำรวยในอนาคตนะครับ