เปิดต้นปีกระต่ายมาเกือบจะเดือนแล้ว ตลาดหุ้นปีกระต่ายเริ่มส่อแววไม่หมูสนามเหมือนปีที่ผ่านมา เพราะความผันผวนของดัชนีที่มีทั้งบวกแรง ลบแรงสลับกันไป คนที่ลงทุนใน Future ก็คงยิ้มได้เพราะที่ผ่านมาสองสัปดาห์มีทั้งขึ้นลงสลับกัน ซึ่งสามารถทำกำไรในขาลงได้ด้วย ต่างจากนักลงทุนหุ้น ที่ขาลงทีไรก็นั่งเซ็งเป็ดเซ็งห่านกันไปตามๆกัน ที่น่าสงสารสุดๆน่าจะเป็นมือใหม่หัดลงทุน นี่ละครับที่มาเจอตลาด sideway ที่ซื้อตัวไหน เป็นลงทุกทีไป อุตสาห์ตื่นเช้ามาฟังนักวิเคราะห์ อ่านบทวิเคราะห์สารพัดหุ้นเด็ดที่เขาว่าจะมา ซื้อทีไรก็ดอยทุกที
ปัญหานี้มีทางแก้ครับ คือเลิกเล่นหุ้นตามข่าว ตามกระแส หันมาติดอาวุธทางปัญญาใช้ปัญญาวิเคราะห์สถานการณ์ด้วยตัวเอง ดีกว่าลงทุนไปตามๆกัน เพราะสัจธรรมของตลาดหุ้นคือ ถ้าลงทุนตามคนส่วนใหญ่มักจะไม่รอดครับ
อีกทางในการแก้ปัญหาตลาด sideway แบบนี้คือการใช้วิธีการลงทุนแบบคลาสสิกง่ายๆคือ DCA (Dollar Cost Averaging) นั้นเป็นวิธีการแรกที่ผมศึกษาตอนที่เริ่มลงทุน เพราะเหมาะกับการลงทุนสำหรับมือใหม่ ไม่ซับซ้อนและมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่าการไปเล่นหุ้นตามข่าว หรือการลงทุนครั้งละมากๆ ที่สำคัญมันสามารถแก้ปัญหาเรื่อง Timing ในการซื้อหุ้นของมือใหม่ได้เป็นอย่างดี
DCA (Dollar Cost Averaging) คืออะไร
DCA (Dollar Cost Averaging) คือหลักการซื้อหุ้นแบบเฉลี่ยต่อเนื่อง ในปริมาณที่เท่าๆกัน บนกรอบการลงทุนระยะยาว เป้าหมายเพื่อลดการผันผวนของราคาหุ้น เพราะการซื้อหุ้นต่อเนื่องกระจายกัน ทำให้เรามีโอกาสจะสามารถซื้อได้ทั้งเวลาที่หุ้นราคาถูกและเวลาที่หุ้นราคาแพง เมื่อนำมาเฉลี่ยกันแล้ว ราคาหุ้นที่ได้ก็จะไม่แพงหรือถูกมากจนเกินไป
ปัจจัยสู่ความสำเร็จ
อย่างที่ได้บอกไปว่า DCA เหมาะที่สุดคือตลาด sideway หรือ Non trend เพราะราคาที่เราจะได้จะเป็นการซื้อที่ค่ากลาง(ค่าเฉลี่ย) โดยปัจจัยที่จะทำให้สำเร็จนั้นได้แก่
- เวลา
ต้องใช้เวลาการลงทุนที่ยาวมากพอ ไม่ใช่ DCA แค่สามครั้ง มันสั้นไปครับที่จะเห็นผล
- ต้องเลือกหุ้นพื้นฐานดี
ถ้าหุ้นแบบทั้งปี วิ่งรอบเดียว หุ้นตัวเล็กมาเพราะเจ้า มาเพราะข่าว ไป DCA ก็ได้ราคาที่ไม่ได้เปรียบสักเท่าไหร่ ควรลงทุนในหุ้นที่พื้นฐานดี มีสภาพคล่องและมีการเติบโตของกิจการต่อเนื่อง ถ้าคิดไม่ออกก็เลือกหุ้น BigCap ไปเลยก็ได้ครับ เพราะคุณสมบัติครบ หรือถ้าจะลงทุนยาวจนลูกบวช ก็อาจจะหาหุ้นที่ปันผลเป็นเลิศด้วยก็ได้ครับ เพราะสิ้นปีเราก็จะได้ผลตอบแทนจากปันผลและมีโอกาสได้ผลตอบแทนจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น
- มีวินัย
ข้อนี้สำคัญ มากสำหรับนักลงทุน เพราะถ้าเราอยากจะประสบความสำเร็จต้องมีวินัย เหมือนตอนเรียน รด.นั้นแหละ แต่ตอนนี้วินัยจะเกิดกับตัวเราไม่ต้องมีใครมาบังคับ โดยเฉพาะการซื้อหุ้น ต้องต่อเนื่องและมีจำนวนเงินที่คงที่ สม่ำเสมอเพื่อไม่ให้เกิด Bias ในแต่ละครั้งที่ลงทุน
- อย่าซื้อหุ้นขาลง
ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มใหญ่ขาลง ลงรุนแรง หรือพวกที่ลงแบบไม่มีอนาคต หรือพวกวัฏจักรขาลง การไปถั่วเฉลี่ยหุ้นมีแต่ลง จะทำให้หมดเงินมาก และถูกดึงไปจนมีแต่ขาดทุนเติบโต และหุ้นแนวโน้มใหญ่ลง ต่อเนื่องกินเวลาระยะยาว นั้นแปลว่ามีปัญหาหนัก ปัญหายังไม่จบ ถ้าคิดจะซื้อให้รอจนกว่ามัน เลิกลงและกลับตัวขึ้น หรือยืนนิ่งอยู่ได้ค่อยเข้าซื้อสะสมอีกครั้ง จะเป็นการทำ smart dca คือไม่ต้องเสียส่วนของทุนไป สวนแรงขาย
ตัวอย่างการลงทุน
หลักการลงทุนคือการซื้อหุ้นพื้นฐานดี แบบต่อเนื่องด้วยปริมาณเงินคงที่ทุกเดือน ในตัวอย่างมีเงื่อนไขดังนี้
1. เลือกช่วงเวลากลางเดือนคือวันที่ 15 16 17 ของทุกเดือน เพื่อทำการซื้อหุ้น
2.กระจายความเสี่ยงโดยการถือหุ้น 3 ตัว(มากกว่านั้นก็ได้ ตามแต่ท่านชอบ แต่ยิ่งมาก ผลตอบแทนก็อาจจะไม่เป็นกอบเป็นกำนัก แต่ความเสี่ยงก็จะลดลง) แยกคนละกลุ่มอุตสาหกรรมภายใต้เงื่อนไขเป็นหุ้นที่พื้นฐานดี มีสภาพคล่องพอประมาณ ราคาไม่แพงมากนัก ประมาณ 10-100 บาท(ถ้ามีเงินเก็บต่อเดือนมาก ก็สามารถซื้อหุ้นแพงๆได้ครับ)
- อาจจะเลือกซื้อหุ้นที่มีปันผลด้วยก็ได้ โดยดูจาก Dividend Yield ที่ดีเพื่อ รับผลตอบแทนจากปันผลเพิ่มอีกทาง
3. ซื้อหุ้นต่อเนื่อง เป็นเวลา 1 ปี(ทดสอบ) โดยจะขายหุ้นเมื่อสิ้นปี
ผมเลือกหุ้น 3 ตัวที่ผมคิดว่าพื้นฐานดี และรู้จักสินค้าและธุรกิจของบริษัทนี้ ได้แก่
- BGH :โรงพยาบาลกรุงเทพ เศรษฐกิจะแย่ยังไงคนรวยก็ต้องรักษาโรค
- ADVANC : ผู้บริการมือถือ ยักษ์ใหญ่มี position ทางธุรกิจดี ฐานลูกค้าเยอะ โอกาสล้มยากเพราะคนไทยยังไงก็ต้องใช้โทรศัพท์มือถือ มีโอกาสเติบต่อเนื่องมีปันผลดี
- KBANK : ธนาคารอันดับต้นของประเทศ มีลูกค้ามากพอสมควร มีโอกาสทางธุรกิจที่ดี จากการปล่อยสินเชื่อให้ SME และลูกค้ารายย่อยระดับ กลางและล่าง โตต่อเนื่อง เจ๊งยากเพราะคนจะเดือดร้อนมาก รัฐบาลไม่น่าจะยอมให้เจ๊งล้มละลาย
ทำการทดสอบ ผมจะเลือกใช้ข้อมูลย้อนหลังปี 2009 เพื่อทดสอบกับสภาวะเศรษฐกิจแบบธรรมดา ช่วงหลังวิกฤตการเงิน ไม่ใช่ช่วง Peak และเป็นช่วงที่ลงทุนในหุ้นได้ยากลำบากพอสมควร เนื่องจากมีข่าวลบทางเศรษฐกิจ มีเรื่องวิกฤตการเมือง เพื่อจะได้เห็นประโยชน์ของ DCA ในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวน
ผลการทดลอง ผลตอบแทนในหุ้นแต่ละตัวมีทั้งบวกและลบ ตามความผันผวนตลาดโดยผลตอบแทนการลงทุนรวมของพอร์ตลงทุนยังเป็นบวก เท่ากับ 11.27% ประเด็นที่น่าสนใจมีดังนี้ครับ
1.เราจะเห็นได้ว่าในแต่ละเดือนราคาหุ้นมีการขึ้น ลงสลับกัน กรณีที่เราจะรอดพ้นจากการขาดทุนด้วยการลงทุนแบบปกติ(คือซื้อๆขายๆ) อาจจะทำได้ยากในกรณีที่ไม่มีเวลาติดตามราคาหุ้น และกรณีที่ไม่ได้ชำนาญจังหวะซื้อ-ขายด้วยการวิเคราะห์เชิงเทคนิค ท่านอาจจะติดดอยหรือขายหมู ได้ตลอดเวลา แต่การลงทุนแบบ DCA ช่วยกระจายความเสี่ยงในการขาดทุนได้ เพราะเราจะมีโอกาสได้ซื้อทั้งช่วงที่หุ้นถูกและแพง
2. พอร์ตการลงทุนแบบซื้อต้นปี ขายปลายปี แน่นอนว่าในตลาดขาขึ้นแบบปี 2009 โอกาสชนะวิธี DCA มีมากเพราะต้นปีหุ้นราคาถูก ปลายปีหุ้นแพง แต่ในความเป็นจริง ท่านต้องไม่ลืมว่าเราไม่รู้ผลเฉลย และความผันผวนก็มีโอกาสเกิดได้ตลอดเวลา
ข้อเด่นของ DCA
1. กระจายความเสี่ยงในการลงทุน
2. เป็นการลงทุนในรูปแบบการออมระยะยาว ในหุ้นเติบโต หรือมีแนวโน้มราคาทิศขาขึ้นโดยใช้จำนวนเงินทีละน้อยๆ ซื้อหุ้นประจำสม่ำเสมอ
3. เพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจ ลดผลกระทบทางจิตวิทยา การไม่ต้องสนใจภาวะตลาดมากนัก จะทำให้มีสมาธิกับการโฟกัสที่ตัวหุ้น ไม่ต้องเล่นไปตามข่าว หรือตามคนส่วนมาก
4. เพิ่มโอกาสชนะในยามตลาด sideway
5. ไม่ต้องใช้เวลาติดตามหุ้นมาก เหมาะกับคนที่ทำงานประจำ
6. ไม่จำเป็นที่ต้องศึกษา และเรียนรู้เรื่องการวิเคราะห์หุุ้นทั้งทางเทคนิคและพื้นฐานขั้งสูง
สรุป
DCA เป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนทีดีวิธีหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องการกำหนดจังหวะซื้อ ขาย ที่มีผลต่อการขาดทุนของนักลงทุนจำนวนมาก ที่สำคัญมันเป็นการลดการลงทุนด้วยเงินจำนวนมากๆ และเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจในการซื้อขาย และค่อนข้างจะมีประสิทธิภาพมากในช่วงตลาด sideway แน่นอนว่าถ้าเราสามารถดูแนวโน้มของตลาดที่ชัดเจนได้ว่าเป็น ขาขึ้นหรือขาลง เราก็คงเลือกจุดการลงทุนได้โดยที่ไม่ต้องใช้ DCA แต่ในความเป็นจริงถ้าไม่ได้ ศึกษาการวิเคราะห์ทางเทคนิคก็จะทำได้ยากครับ ประกอบกับการต้องใช้เวลาในการติดตามการเคลื่อนตัวของราคาหุ้นแบบใกล้ชิด
ดังนั้นวิธี DCA จึงเหมาะกับนักลงทุนที่ไม่มีเวลามากนัก แต่ต้องการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินในธนาคาร โดยเราสามารถได้รับผลตอบแทนทั้งจาก ส่วนต่างของราคาที่เพิ่มขึ้น และจากผลตอบแทนในรูปเงินปันผลจากหุ้นของบริษัทที่เราลงทุน โดยทำการจำกัดความเสี่ยงด้วยการลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีและมีความมั่นคง
แต่ DCA ไม่เหมาะกับการเข้าซื้อในหุ้นขาลง หรือทิศทางแนวโน้มใหญ่ขาลง เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น โอกาสที่สูญเสียส่วนของทุนจำนวนมากจะมีสูง การซื้อต่อเนื่องในทิศทางแนวโน้มใหญ่ขาลงจึงไม่เป็นที่นิยมทำกัน
วิธี DCA ที่ใช้เรื่องของ Time มาเป็นตัวกำหนดเป็นเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งเท่านั้น เราสามารถประยุกต์ใช้ DCA กับการซื้อสะสมเฉลี่ย ด้วย RSI MACD หรือ Stochastic ได้ โดยเข้าซื้อสะสมในช่วงที่ราคา เข้าสู่ Oversold Area วิธีนี้จะทำให้ได้หุ้นที่ต้องการใน ราคาถูก แต่ต้องใช้เวลาในการติดตามหุ้นทุกวัน และจะเหมาะกับช่วยตลาด sideway มากที่สุดครับ
ปัญหานี้มีทางแก้ครับ คือเลิกเล่นหุ้นตามข่าว ตามกระแส หันมาติดอาวุธทางปัญญาใช้ปัญญาวิเคราะห์สถานการณ์ด้วยตัวเอง ดีกว่าลงทุนไปตามๆกัน เพราะสัจธรรมของตลาดหุ้นคือ ถ้าลงทุนตามคนส่วนใหญ่มักจะไม่รอดครับ
อีกทางในการแก้ปัญหาตลาด sideway แบบนี้คือการใช้วิธีการลงทุนแบบคลาสสิกง่ายๆคือ DCA (Dollar Cost Averaging) นั้นเป็นวิธีการแรกที่ผมศึกษาตอนที่เริ่มลงทุน เพราะเหมาะกับการลงทุนสำหรับมือใหม่ ไม่ซับซ้อนและมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่าการไปเล่นหุ้นตามข่าว หรือการลงทุนครั้งละมากๆ ที่สำคัญมันสามารถแก้ปัญหาเรื่อง Timing ในการซื้อหุ้นของมือใหม่ได้เป็นอย่างดี
DCA (Dollar Cost Averaging) คืออะไร
DCA (Dollar Cost Averaging) คือหลักการซื้อหุ้นแบบเฉลี่ยต่อเนื่อง ในปริมาณที่เท่าๆกัน บนกรอบการลงทุนระยะยาว เป้าหมายเพื่อลดการผันผวนของราคาหุ้น เพราะการซื้อหุ้นต่อเนื่องกระจายกัน ทำให้เรามีโอกาสจะสามารถซื้อได้ทั้งเวลาที่หุ้นราคาถูกและเวลาที่หุ้นราคาแพง เมื่อนำมาเฉลี่ยกันแล้ว ราคาหุ้นที่ได้ก็จะไม่แพงหรือถูกมากจนเกินไป
ปัจจัยสู่ความสำเร็จ
อย่างที่ได้บอกไปว่า DCA เหมาะที่สุดคือตลาด sideway หรือ Non trend เพราะราคาที่เราจะได้จะเป็นการซื้อที่ค่ากลาง(ค่าเฉลี่ย) โดยปัจจัยที่จะทำให้สำเร็จนั้นได้แก่
- เวลา
ต้องใช้เวลาการลงทุนที่ยาวมากพอ ไม่ใช่ DCA แค่สามครั้ง มันสั้นไปครับที่จะเห็นผล
- ต้องเลือกหุ้นพื้นฐานดี
ถ้าหุ้นแบบทั้งปี วิ่งรอบเดียว หุ้นตัวเล็กมาเพราะเจ้า มาเพราะข่าว ไป DCA ก็ได้ราคาที่ไม่ได้เปรียบสักเท่าไหร่ ควรลงทุนในหุ้นที่พื้นฐานดี มีสภาพคล่องและมีการเติบโตของกิจการต่อเนื่อง ถ้าคิดไม่ออกก็เลือกหุ้น BigCap ไปเลยก็ได้ครับ เพราะคุณสมบัติครบ หรือถ้าจะลงทุนยาวจนลูกบวช ก็อาจจะหาหุ้นที่ปันผลเป็นเลิศด้วยก็ได้ครับ เพราะสิ้นปีเราก็จะได้ผลตอบแทนจากปันผลและมีโอกาสได้ผลตอบแทนจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น
- มีวินัย
ข้อนี้สำคัญ มากสำหรับนักลงทุน เพราะถ้าเราอยากจะประสบความสำเร็จต้องมีวินัย เหมือนตอนเรียน รด.นั้นแหละ แต่ตอนนี้วินัยจะเกิดกับตัวเราไม่ต้องมีใครมาบังคับ โดยเฉพาะการซื้อหุ้น ต้องต่อเนื่องและมีจำนวนเงินที่คงที่ สม่ำเสมอเพื่อไม่ให้เกิด Bias ในแต่ละครั้งที่ลงทุน
- อย่าซื้อหุ้นขาลง
ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มใหญ่ขาลง ลงรุนแรง หรือพวกที่ลงแบบไม่มีอนาคต หรือพวกวัฏจักรขาลง การไปถั่วเฉลี่ยหุ้นมีแต่ลง จะทำให้หมดเงินมาก และถูกดึงไปจนมีแต่ขาดทุนเติบโต และหุ้นแนวโน้มใหญ่ลง ต่อเนื่องกินเวลาระยะยาว นั้นแปลว่ามีปัญหาหนัก ปัญหายังไม่จบ ถ้าคิดจะซื้อให้รอจนกว่ามัน เลิกลงและกลับตัวขึ้น หรือยืนนิ่งอยู่ได้ค่อยเข้าซื้อสะสมอีกครั้ง จะเป็นการทำ smart dca คือไม่ต้องเสียส่วนของทุนไป สวนแรงขาย
ตัวอย่างการลงทุน
หลักการลงทุนคือการซื้อหุ้นพื้นฐานดี แบบต่อเนื่องด้วยปริมาณเงินคงที่ทุกเดือน ในตัวอย่างมีเงื่อนไขดังนี้
1. เลือกช่วงเวลากลางเดือนคือวันที่ 15 16 17 ของทุกเดือน เพื่อทำการซื้อหุ้น
2.กระจายความเสี่ยงโดยการถือหุ้น 3 ตัว(มากกว่านั้นก็ได้ ตามแต่ท่านชอบ แต่ยิ่งมาก ผลตอบแทนก็อาจจะไม่เป็นกอบเป็นกำนัก แต่ความเสี่ยงก็จะลดลง) แยกคนละกลุ่มอุตสาหกรรมภายใต้เงื่อนไขเป็นหุ้นที่พื้นฐานดี มีสภาพคล่องพอประมาณ ราคาไม่แพงมากนัก ประมาณ 10-100 บาท(ถ้ามีเงินเก็บต่อเดือนมาก ก็สามารถซื้อหุ้นแพงๆได้ครับ)
- อาจจะเลือกซื้อหุ้นที่มีปันผลด้วยก็ได้ โดยดูจาก Dividend Yield ที่ดีเพื่อ รับผลตอบแทนจากปันผลเพิ่มอีกทาง
3. ซื้อหุ้นต่อเนื่อง เป็นเวลา 1 ปี(ทดสอบ) โดยจะขายหุ้นเมื่อสิ้นปี
ผมเลือกหุ้น 3 ตัวที่ผมคิดว่าพื้นฐานดี และรู้จักสินค้าและธุรกิจของบริษัทนี้ ได้แก่
- BGH :โรงพยาบาลกรุงเทพ เศรษฐกิจะแย่ยังไงคนรวยก็ต้องรักษาโรค
- ADVANC : ผู้บริการมือถือ ยักษ์ใหญ่มี position ทางธุรกิจดี ฐานลูกค้าเยอะ โอกาสล้มยากเพราะคนไทยยังไงก็ต้องใช้โทรศัพท์มือถือ มีโอกาสเติบต่อเนื่องมีปันผลดี
- KBANK : ธนาคารอันดับต้นของประเทศ มีลูกค้ามากพอสมควร มีโอกาสทางธุรกิจที่ดี จากการปล่อยสินเชื่อให้ SME และลูกค้ารายย่อยระดับ กลางและล่าง โตต่อเนื่อง เจ๊งยากเพราะคนจะเดือดร้อนมาก รัฐบาลไม่น่าจะยอมให้เจ๊งล้มละลาย
ทำการทดสอบ ผมจะเลือกใช้ข้อมูลย้อนหลังปี 2009 เพื่อทดสอบกับสภาวะเศรษฐกิจแบบธรรมดา ช่วงหลังวิกฤตการเงิน ไม่ใช่ช่วง Peak และเป็นช่วงที่ลงทุนในหุ้นได้ยากลำบากพอสมควร เนื่องจากมีข่าวลบทางเศรษฐกิจ มีเรื่องวิกฤตการเมือง เพื่อจะได้เห็นประโยชน์ของ DCA ในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวน
ผลการทดลอง ผลตอบแทนในหุ้นแต่ละตัวมีทั้งบวกและลบ ตามความผันผวนตลาดโดยผลตอบแทนการลงทุนรวมของพอร์ตลงทุนยังเป็นบวก เท่ากับ 11.27% ประเด็นที่น่าสนใจมีดังนี้ครับ
1.เราจะเห็นได้ว่าในแต่ละเดือนราคาหุ้นมีการขึ้น ลงสลับกัน กรณีที่เราจะรอดพ้นจากการขาดทุนด้วยการลงทุนแบบปกติ(คือซื้อๆขายๆ) อาจจะทำได้ยากในกรณีที่ไม่มีเวลาติดตามราคาหุ้น และกรณีที่ไม่ได้ชำนาญจังหวะซื้อ-ขายด้วยการวิเคราะห์เชิงเทคนิค ท่านอาจจะติดดอยหรือขายหมู ได้ตลอดเวลา แต่การลงทุนแบบ DCA ช่วยกระจายความเสี่ยงในการขาดทุนได้ เพราะเราจะมีโอกาสได้ซื้อทั้งช่วงที่หุ้นถูกและแพง
2. พอร์ตการลงทุนแบบซื้อต้นปี ขายปลายปี แน่นอนว่าในตลาดขาขึ้นแบบปี 2009 โอกาสชนะวิธี DCA มีมากเพราะต้นปีหุ้นราคาถูก ปลายปีหุ้นแพง แต่ในความเป็นจริง ท่านต้องไม่ลืมว่าเราไม่รู้ผลเฉลย และความผันผวนก็มีโอกาสเกิดได้ตลอดเวลา
ข้อเด่นของ DCA
1. กระจายความเสี่ยงในการลงทุน
2. เป็นการลงทุนในรูปแบบการออมระยะยาว ในหุ้นเติบโต หรือมีแนวโน้มราคาทิศขาขึ้นโดยใช้จำนวนเงินทีละน้อยๆ ซื้อหุ้นประจำสม่ำเสมอ
3. เพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจ ลดผลกระทบทางจิตวิทยา การไม่ต้องสนใจภาวะตลาดมากนัก จะทำให้มีสมาธิกับการโฟกัสที่ตัวหุ้น ไม่ต้องเล่นไปตามข่าว หรือตามคนส่วนมาก
4. เพิ่มโอกาสชนะในยามตลาด sideway
5. ไม่ต้องใช้เวลาติดตามหุ้นมาก เหมาะกับคนที่ทำงานประจำ
6. ไม่จำเป็นที่ต้องศึกษา และเรียนรู้เรื่องการวิเคราะห์หุุ้นทั้งทางเทคนิคและพื้นฐานขั้งสูง
สรุป
DCA เป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนทีดีวิธีหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องการกำหนดจังหวะซื้อ ขาย ที่มีผลต่อการขาดทุนของนักลงทุนจำนวนมาก ที่สำคัญมันเป็นการลดการลงทุนด้วยเงินจำนวนมากๆ และเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจในการซื้อขาย และค่อนข้างจะมีประสิทธิภาพมากในช่วงตลาด sideway แน่นอนว่าถ้าเราสามารถดูแนวโน้มของตลาดที่ชัดเจนได้ว่าเป็น ขาขึ้นหรือขาลง เราก็คงเลือกจุดการลงทุนได้โดยที่ไม่ต้องใช้ DCA แต่ในความเป็นจริงถ้าไม่ได้ ศึกษาการวิเคราะห์ทางเทคนิคก็จะทำได้ยากครับ ประกอบกับการต้องใช้เวลาในการติดตามการเคลื่อนตัวของราคาหุ้นแบบใกล้ชิด
ดังนั้นวิธี DCA จึงเหมาะกับนักลงทุนที่ไม่มีเวลามากนัก แต่ต้องการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินในธนาคาร โดยเราสามารถได้รับผลตอบแทนทั้งจาก ส่วนต่างของราคาที่เพิ่มขึ้น และจากผลตอบแทนในรูปเงินปันผลจากหุ้นของบริษัทที่เราลงทุน โดยทำการจำกัดความเสี่ยงด้วยการลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีและมีความมั่นคง
แต่ DCA ไม่เหมาะกับการเข้าซื้อในหุ้นขาลง หรือทิศทางแนวโน้มใหญ่ขาลง เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น โอกาสที่สูญเสียส่วนของทุนจำนวนมากจะมีสูง การซื้อต่อเนื่องในทิศทางแนวโน้มใหญ่ขาลงจึงไม่เป็นที่นิยมทำกัน
วิธี DCA ที่ใช้เรื่องของ Time มาเป็นตัวกำหนดเป็นเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งเท่านั้น เราสามารถประยุกต์ใช้ DCA กับการซื้อสะสมเฉลี่ย ด้วย RSI MACD หรือ Stochastic ได้ โดยเข้าซื้อสะสมในช่วงที่ราคา เข้าสู่ Oversold Area วิธีนี้จะทำให้ได้หุ้นที่ต้องการใน ราคาถูก แต่ต้องใช้เวลาในการติดตามหุ้นทุกวัน และจะเหมาะกับช่วยตลาด sideway มากที่สุดครับ