มีคนเคยถามผมว่า เริ่มลงทุนในตลาดหุ้น ควรมีเงินเริ่มต้นเท่าไหร่ดี 1 แสน 1 ล้าน หรือ 10 ล้าน อุึปสรรคในการเริ่มต้นลงทุนของคนชั้นกลาง มนุษย์เงินเดือน คงจะเป็นในเรื่องการกังวลกับความเสี่ยงในการลงทุนและเงินเริ่มต้นในการลงทุน อาจจะเป็นเพราะติดกับความเชื่อเดิม ที่กรอกหูจากเพลงเพื่อชีวิต วิตามินบี 12 ที่บอกว่า "คนจน เล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น" เมื่อคิดว่าฉันยังไม่รวยก็เลยเล่นหวยกันต่อไป
แท้จริงแล้ว เงินไม่ใช่ปัญหาสำคัญในการเริ่มต้นลงทุน ผมกลับมองว่ายิ่งเริ่มเร็วยิ่งได้เปรียบ ยิ่งเริ่มจากเงินน้อยๆยิ่งได้เปรียบ เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะว่ากว่าที่เราจะมีวิชากล้าแข็ง มีทักษะในการลงทุนต้องใช้เวลา ลองผิดลองถูกยิ่งเริ่มเร็ว โอกาสในการทำกำไรในการลงทุนยิ่งมาถึงเร็ว ถ้าเริ่มตอนอายุ 40 -50 มีครอบครัว ความเสี่ยงที่รับได้ก็จะน้อย ที่สำคัญอายุมากขึ้นเวลาใช้ให้เงินทำงานก็น้อยลง ถ้าจะลงทุนตอน 50 กว่าจะมีเงินจากปันผลให้ทบต้นสัก 1 เด้งก็อาจจะต้องรอไปสัก 10-15 ปี ก็เป็นได้ เผลอๆตายก่อนอดใช้เงินอีก
เคยมีคนบอกผมว่านักลงทุนกว่าจะเก่งต้องอยู่ในตลาดมากกว่า 5 ปี ต้องลงทุนชนะตลาด(SET) ได้ติดต่อกันมากกว่า 3 ปี และสุดท้าย คุณต้องประคับประคอง บริหารพอร์ตผ่านวิกฤตการเงินและเศรษฐกิจโลกขนาดใหญ่ให้ได้ก่อน สิริแล้วคุณอาจจะต้องใ้ช้เวลาศึกษาและลงทุนในหุ้นเกือบ 10 ปีถึงจะครบทั้ง 3 ข้อ แต่ผมโชคดีมากที่ผ่านทั้งหมดในเวลา 5 ปีอาจจะเป็นเพราะเริ่มลงทุนได้ปีกว่า วิกฤตก็มาทันที เล่นเอาพอร์ตลบไปกว่าครึ่ง เกือบถอดใจเหมือนกัน
ดังนั้นการที่เราเริ่มเร็วได้เปรียบคนเริ่มช้า เพราะเริ่มเร็วได้ศึกษาเร็ว ได้แลกเปลี่ยนมุมมองกับเพื่อนนักลงทุนทุกวัน คุณก็จะได้เก็บเกี่ยววิธีคิด ปรับเปลี่ยน mind set ให้เข้าที่เข้าทาง และเอาตัวรอดได้สบาย อ่านมาถึงตอนนี้อย่าคิดว่าง่ายนะครับการจะลงทุนแล้วอยู่รอดได้ระยะยาว เพราะว่าคนที่หันหลังหมดเนื้อ หมดตัวกับตลาดหลักทรัพย์ก็มีไม่น้อย ส่วนมากได้เยอะ แต่ก็เอากลับคืนไปเป็นสองเท่า บางคนที่ขาดทุนมหาศาล มักจะหมดกำลังใจและก็หันหลังจากไปจากสังเวียนการลงทุน อีกกลุ่มหนึ่งก็ลุ้นแบบทางไกลเป็น VI จำยอมตามสโลแกนไม่ขายไม่ขาดทุน (เพื่อนผมถือ TTA 28 บาท เลิกเล่นหุ้นนานแล้ว แต่ยังขายหุ้นลงดอยไม่ได้เลย ไม่กล้าขายขาดทุนเพราะจะโดนเป็นล้าน)
บางคนคิดว่าต้องมีหลักทรัพย์เยอะๆ ในการลงทนเพื่อของเปิดบัญชีแบบมาร์จิ้นได้ ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ถ้าผมแนะนำผมมักจะให้ใช้เงินหลักหมื่น น้อยแต่ดี ไม่ต้องไปเอาเงินทั้งหมดที่หามาได้มากองในพอร์ตเพื่อให้พอร์ตโต เอาไว้อวดเอาไว้ประดับบารมี ไม่มีประโยชน์ในช่วงเิริ่มต้นหรอกครับ เงินน้อยๆเปิดบัญชีธรรมดา เพราะพวกที่ถูกความโลภครอบงำแล้วนั้นการมีมาร์จิ้นก็เป็นดาบสองคม ที่ยิ่งทำให้เราตายเร็วยิ่งขึ้น การลงทุนในหลักหมื่นต้นๆถึงกลางๆ ดีตรงที่ เราจะไม่มีความกดดันในการลงทุนมากนัก เพราะการซื้อหุ้น ย่อมมีโอกาสขาดทุน ยิ่งลงทุนมาก ขาดทุนก็จะมาก การตัดสินใจ stoplose ก็จะทำยาก แต่ถ้าลงทุนน้อย ผิดพลาดไปในวงเงินหลักพัน หลักร้อย คุณยังทำใจยอมรับได้ ง่าย และที่เป็นสัจธรรมคือ การลงทุนในช่วง 6 เดือน มันเป็นช่วงสุกดิบซื้อวิชา ยังไงก็ต้องขาดทุน ยังไงก็ต้องจ่ายค่าวิชาให้กับหุ้นมีเจ้า, หุ้นรายวัน ,หุ้น IPO จอมแสบ, future พารวย หรือแม้แต่นวัตกรรมหวยออนไลน์แบบ DW
ดังนั้นการลงทุนน้อย ยิ่งเจ๊งยิ่งเรียนรู้จากประสบการณ์ทำให้เรา ฉลาดและมีทักษะ รู้ว่าแบบนี้ไม่ควรทำ แบบนี้ไม่เวริ์ค (ถ้าต่อมเรียนรู้ข้อผิดพลาด คุณไม่เสีย คุณจะไม่ผิดครั้งที่สาม สี่ ห้าอีก) ที่สำคัญคนที่เปลี่ยนแนวทางการลงทุน หรือระบบเทรด ในช่วงปีแรกจะมีมาก เพราะคุณจะรู้จักระบบนั้นระบบนี้จากเพื่อนฝูง หรือรุ่นพี่ เทคนิคแบบนั้นแบบนี้ ดังนั้นช่วงการลองผิดลองถูก ถ้าเราจำกัดเงินลงทุนขั้นต้นได้น้อย การขาดทุนก็จะไม่มาก และไม่เกิดอาการท้อแท้ผิดหวัง จนหันหลังเิดินออกไป ดังนั้นขอแค่มีเงินเก็บเป็นเงินเย็น มีใจพร้อมจะเรียนรู้และเข้ามาในโลกการลงทุน เท่านี้ก็เพียงพอที่จะเริ่มต้นแล้วครับ ไม่ต้องกังวลว่าจะได้ผลตอบแทนน้อยไม่พอยาไส้ จนต้องรีบเพิ่มทุน เพราะโดยทั่วไปการทำกำไรจะเกิดขึ้นได้แบบถาวรและยั่งยืนก็ต่อเมื่อ เราเข้าใจตลาด เข้าใจวิธีการลงทนแบบเป็นระบบ ที่สำคัญจากสถิติการลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่มาก จะมีโอกาสชนะมากกว่า การลงทนด้วยเงินก้อนใหญ่ เพราะเราสามารถควบคุมภาวะอารมณ์และจิตใจ ในการตัดสินใจในเกมส์ได้ดีกว่า
สุดท้ายเตือนตัวเองเสมอว่าตลาดหุ้นมันอันตรายและต้องไม่ลืมว่าอีกนัยหนึ่งมันคือ สนามรบดีๆ เงินที่เราได้มา อีกด้านหนึีึ่งของมันก็คือเงินจากหยาดน้ำตา ความเจ็บใจ และความแพ้พ่ายของคนอีกกลุ่มที่ซื้อ ขายหุ้นตัวเดียวกับเรา ดังนั้นการเตรียมตัวให้พร้อมให้ดีที่สุดถึงแม้จะไม่ทำให้เราเป็นผู้ชนะ แต่มันก็จะไม่ทำให้เราเป็นผู้แพ้แบบถาวร อย่างน้อยภูิมิต้านทานความเจ๊งก็จะถูกปลูกขึ้น และคุ้มครองตัวเราเองตลอดไปครับ