กลิ่นของปีใหม่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้ว ผมชอบบรรยากาศปลายปีแบบนี้จัง อากาศเย็น บรรยากาศของความสุข สนุกสนานของงานเลี้ยง และวันหยุดยาว ผู้คนต่างจับจ่ายซื้อของขวัญให้กัน บางคนเตรียมตัวสำหรับเดินทางไกลไปท่องเที่ยวหรือกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ผมเชื่อว่าหลายอาชีพสัปดาห์นี้คงจะไม่มีกระจิตกระใจทำงานกันแล้ว จิตใจคงจดจ่ออยู่กับวันหยุดและการฉลองเทศกาลปีใหม่มากกว่า รวมถึงอาชีพนักลงทุน บรรยากาศของตลาดหุ้นช่วงสัปดาห์นี้ก็เงียบเหงา มีสลับตื่นเต้นบ้างบางวัน แต่โดยรวมความคึกคักก็หายไปมาก ที่น่าชมเชยคงจะเป็นหุ้นเล็ก หุ้นมีของขยันวิ่งกันมากมายทุกวัน ทำเอาคอเดยเทรดไม่มีเบื่อกันเลย
แท้จริงแล้ว ชีวิตเราก็คือการลงทุน พ่อแม่ลงทุนในการเลี้ยงดูและให้การศึกษาลูก, ทำบุญก็คือรูปแบบของการลงทุนเพื่อจะให้ได้ไปสวรรค์ เป็นต้น สิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับการลงทุนนั้นคือ "ความคาดหวัง" เมื่อมีความคาดหวังย่อมมีทั้ง สมหวัง และ ผิดหวัง ควบคู่กัน สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องมีสติและเรียนรู้จากความผิดหวังเพื่อให้เกิดการพัฒนาตนเอง เพื่อไปสู่เป้าหมายตามที่คาดหวังไว้
การลงทุนในตลาดหุ้นสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะแนะนำสำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่ก็คือ การรู้จักจดบันทึกผลการลงทุน ทั้งกำไร ขาดทุนลงในสมุดโน๊ต หรือจะใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ก็แล้วแต่ ข้อดีของการจดบันทึกคือ เราจะได้มีโอกาสทบทวนเหตุผลของการซื้อ และขายหุ้น รวมถึงการบันทึกข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น เพื่อนำมาใช้ในการวิเคราะห์และสรุปบทเรียน ไม่ใช่ว่าขาดทุน ติดดอย พอขายได้ก็รีบๆลืมมันไปแล้วหันไปแก้มือใหม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นท่านก็จะไม่สามารถพัฒนาทักษะการลงทุนของตัวเองได้ ก็จะกลายเป็นแมงเม่าทั้งปีทั้งชาติไป
ผมลองกลับไปดูบันทึกย้อนหลังเมื่อสี่ปีก่อนที่เริ่มเข้ามาลงทุนใหม่ๆ น่าแปลกใจคือความผิดพลาดของผมก็ไม่ได้ต่างอะไรจาก ความผิดพลาดของคนอื่นๆที่ดูได้จากการเข้าไปโพสปรับทุกข์ในห้องสินธร ผมขอสรุปย่อออกมาเป็น หัวข้อหลักๆดังนี้
1. ขายหมู ซื้อควาย:
ลักษณะอาการของการรนราน ทำกำไรได้แค่ 2-3% ก็รีบขาย เพราะกลัวที่จะขาดทุน เวลาหุ้นตก แต่เมื่อขายไป แล้วราคาไม่ลง นิ่งอยู่สองวันแล้ววิ่งใส่หน้า เลยกลับไปซื้อควาย คือซื้อปุ๊บ ไม่ทันข้ามวัน มันวิ่งลงใส่หน้า จากเพชร กลายเป็น ทับทิม แล้วค่อยๆกลายเป็นดิน ไป จากกำไรนิดหน่อยเป็นขาดทุน
2. ติดดอยคอยรัก
เกิดจากการซื้อ แล้วหาที่ขายไม่ได้ หรืออีกนัยหนึ่งคือซื้อแล้วมันไม่วิ่งขึ้น แต่วิ่งลงแทน ด้วยความคิดที่ว่า "ไม่ขายไม่ขาดทุน" และใจไม่กล้า cutlose เลยต้องเป็น VI ประเภททนถือ รอรับปันผลขี้เล็บไป บางคนอาการหนักพอราคาแวะมารับให้ลงดอย รีบโดดลง แต่ราคาหุ้นไม่หยุดบวกต่ออีก เลยกลับไปซื้อควาย ขึ้นดอยต่อ กรรมจริงๆ
3. หุ้นตัวนี้เขาว่าดี
ใจคิดว่าจะไม่ซื้อ ราคานี้ไม่ปลอดภัยเกินพื้นฐานมาก แต่พอฟังมาร์บอก เพื่อนบอกว่าดี พี่บอกว่ามันคือหุ้นตัวเล็กทำ new high ,เพื่อนๆก็ซื้อ สุดท้ายก็จัดไปตามน้ำ ลงเอยคือขาดทุน
4. มีข่าวดีแต่พี่คิดนาน
มีข่าวมา มีนักวิเคราะห์เชียร์ แต่เราคิดนาน รอจนมันบวกเกือบ 10% แล้วไปเข้า ผลคือตลาดวายแล้วโดนรินขาย ราคาวิ่งไปสองป้าย ก็ใส่เกียร์ถอยหลังลงคลอง
5. ถูกกว่านี้ไม่มีแล้ว (มั้ง)
แนวคิดแบบกบ ที่มองว่าราคาเก่ามันเคยสูงกว่านี้มาก เดี่ยวต้อง rebound ลืมมองปัจจัยพื้นฐานและความเชื่อของนักลงทุนคนอื่น ซื้อสวนตลาดรับมีดไปเต็มๆ ซื้อปุ๊บ ลงต่อปั๊บ พักตัวที่ก้มเหวอีกเป็นเดือน
6. ถ้าบอกให้ซื้อ ตูขาย ถ้าบอกขาย ตูซื้อ
ความเชื่อที่ว่าพวกนักวิเคราะห์ชอบเดา ถ้ารู้จริงแม่งรวยแล้วไม่มาวิเคราะห์หรอก (คิดได้ไงฟ่ะ) เลยเล่นตรงข้ามแบบไม่ต้องคิด ถ้าบอกซื้อ ตูก็ขาย ถ้าบอกขาย ตูก็ซื้อ ผลออกมาผิดมากกว่าถูกขาดทุนไปเพราะความดื้อ
7. แม่ดี ลูกต้องเด่น
เชื่อถือให้หุ้นตัวแม่ เลยไปรับเลี้ยงซื้อตัวลูก W และ DW เพราะคิดว่าตัวแม่กำลังวิ่ง ลูกต้องวิ่งตาม ผลสุดท้ายดีใจไม่นานโดนทุบขาดทุน
8. ถึงเวลาต้อง SAP แล้ว
หุ้นลงแท่งแดงยาว ขายกันราวกับบริษัทจะเจ๊ง ทำใจนิ่งๆ เพื่อนยังไม่ขาย รอจนมันลบเกือบ 20% นักวิเคราะห์ปรับราคาเป้าหมาย คิดจะ SAP(short again port) ผลคือขายได้ แต่ซื้อคืนไม่ทัน ขายไปตดไม่ทันหายเหม็น ราคาก็วิ่งหนีไปแล้ว ผลคือ ขาดทุนและไม่กล้าซื้อหุ้นกลับคืนในราคาที่แพงกว่า
9. ซื้อถั่วขาลง
เมื่อติดดอย ก็ต้องหาทางลง เลยไปหากระสุนมาเพิ่มและซื้อ ถั่วเฉลี่ย ขาลงหวังจะลดเวลาที่อยู่บนดอย ผลคือ หมดเงิน หมดใจไม่ได้ลงดอย เพราะราคาหุ้นไม่มารับ
ทั้งหมดทั้งมวลที่เขียนมาให้ดู นั้นคือความผิดพลาดของผมในช่วงปีแรกที่ลงทุน พอร์ตลงทุนผมลดลงมากถึง 50 % จึงทำให้กลับมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง วิธีคิดและแผนการเล่นถูกต้องไหม ผลที่พบคือเราวิ่งตามตลาดมากไป เราถูกจิตวิทยามวลชนชี้นำ ผ่านทางการจ้อง bid-offer เราถุกความโลภ ความกลัวที่กัดกร่อนใจจนทำให้เรา ตัดสินผิดพลาด
ความผิดพลาดและความผิดหวังไม่ใช่เรื่องน่ากลัวแต่เป็นเรื่องที่ปถุชนคนเดินดินต้องเจอ สิ่งหนึ่งที่ควรจะทำนั้นคือการเรียนรู้และเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดอย่างมีสติ เท่านี้ท่านก็จะสามารถประสบความเร็จในการลงทุนได้แน่นอนครับ