เมื่ออาทิตย์ก่อนเปิดประเด็นเรื่องของ Fund flow ตอนที่ 1 ทิ้งไว้หลายคนให้ความสนใจ วันนี้ขอมาต่อประเด็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับพฤติกรรมและบทบาทของกระแสเงินต่างชาติ ซึ่งต้องขอออกตัวไว้ว่าสิ่งที่ผมเขียนเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาและสังเกตจากประสบการณ์ของตัวเองในช่วงเวลาหนึ่ง
แน่นอนว่าอนาคตอาจจะมีการแปลงได้ตามสภาวะตลาดและเศรษฐกิจโลกแต่พื้นฐานและแนวคิดหลักส่วนใหญ่จะไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่ผมจะเขียนเพื่อจะให้เป็นแนวคิดในการมองปริมาณการซื้อขายต่างชาติในอีกมุมหนึ่ง เพื่อผู้อ่านนำไปศึกษาต่อและปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในการลงทุนต่อไป
ความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นไทย
ปกติถ้าเราดูยอดการซื้อขายสุทธิในแต่ละวันของต่างชาติ เราอาจจะมองไม่เห็นความสัมพันธ์โดยตรงแบบที่หลายคนพยายามเอาไปเปรียบเทียบ ว่าถ้าต่างชาติซื้อสุทธิ ตลาดหุ้นจะเขียว หรือถ้าต่างชาติขายสุทธิ ดัชนีตลาดหุ้นจะแดงติดลบ การดูยอดการซื้อขายสุทธิในแต่ละวันอาจจะทำให้เรามองไม่เห็นภาพใหญ่ ของพฤติกรรมของกระแสเงินต่างชาติ แต่ถ้าเรามองปริมาณการซื้อขายสะสม(Accumulated Foreign Flow) ในคาบเวลา เราจะพบว่ามันมีทิศทางและมีแนวโน้มที่ชัดเจน ต่างจากยอดสุทธิในแต่ละวันที่วันนี้ซื้อ พรุ่งนี้ขาย สลับกันไปมา
จริงแล้วผมได้ทำการทดลองเบื้องต้นโดยนำกราฟปริมาณการซื้อขายสะสมของต่างชาติในรอบ 3 ปีมาเปรียบเทียบกับการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทย(SET) และSET50 เพื่อหาค่าความสัมพันธ์ ด้วยสมการเชิงเส้น และคำนวณหาค่าเบต้า เพื่อประเมินความสอดคล้อง ผลที่ออกมาเป็นไปตามสมมติฐาน ผมขออธิบายง่ายๆด้วยภาพด้านล่าง ลองพิจารณารูปร่างของเส้นปริมาณการซื้อสะสมของต่างชาติและเส้นแนวโน้มของ SET และ SET50 จะพบว่ามีรูปแบบและความชัน ที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นจึงเป็นการอธิบายได้อย่างชัดเจนว่า ปริมาณการซื้อขายของต่างชาติ นั้นมีอธิพลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทย
ยอดการซื้อขายครึ่งวัน
คงมีคำถามตามมาว่าแล้วยอดการซื้อขายครึ่งวัน ประภทครึ่งวันเช้าฝรั่งซื้อ ฝรั่งขาย มันบอกอะไรเราได้หรือไม่ สำหรับผมไม่มีประโยชน์อะไร เพราะจากประสบการณ์หลายครั้งที่ครึ่งวันเช้าต่างชาติซื้อสุทธิ แต่ตอนเย็นยอดสุทธิกับเป็นขาย หรือครึ่งวันเช้าขายสุทธิ แต่ตอนเย็นเป็นซื้อ ดังนั้นมันไม่สามารถนำมาอนุมานหรือช่วยในการตัดสินใจซื้อขายหุ้นได้เลย อีกประการที่ต้องระวังคือยอดซื้อขายครึ่งวันของต่างชาติ มักไม่เป็นทางการ บางครั้งหลายเว็บก็ให้ตัวเลขที่แตกต่างกัน บางเจ้าบอกซื้อ บางเจ้าบอกขายสุทธิ ดังนั้นจึงไม่ควรนำตัวเลขนี้มาใช้ในการตัดสินใจ
หัวดำหรือหัวทอง
ก่อนที่ผมจะศึกษาเรื่องนี้ผมมักจะได้ยินคำพูดประเภทนี้บ่อยๆว่า ไม่ต้องสนใจพวกนี้ฝรั่งหัวดำ ทั้งนั้น นัยยะคือไม่มีความสำคัญ ไม่ว่ามันจะซื้อหรือขาย เพราะเป็นคนไทย คนเอเซียซื้อกันเอง แต่ยืมแบรนด์ต่างชาติมาใช่
ถ้าลองพิจารณาดีๆจะพบ ไม่ว่าหัวดำหัวทองก็ไม่สำคัญ เพราะนัยยะไม่ได้อยู่ที่สีผม มันอยู่ที่ปริมาณเงินมากกว่า เมื่อเทียบยอดการซื้อสะสมของต่างชาติ กับสถาบัน กองทุนและรายย่อย ตัวเลขของต่างชาติก็สูงกว่าทั้งหมด
อีกประการ คำว่าต่างชาติ ไม่จำเป็นต้องเป็นฝรั่งเสมอไป ต่างชาตินั้นมีทั้งกองทุนและนักลงทุนอิสระ ที่หลายกลุ่มไม่ได้เป็นฝรั่งแต่เป็น "แขก" ใช่แล้วครับแขกจากอาหรับ ประเทศเศรษฐีน้ำมัน ประเทศเหล่านี้มีเงินมากมายและมีกองทุนเฮ็ดฟันใหญ่ในประเทศเหล่านี้ ที่นำเงินของเศรษฐีหรือผู้มีอันจะกินในประเทศกลุ่มอาหรับ มาลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดกลุ่ม TIPS ซึ่งหมายถึงบ้านเรา ยิ่งน้ำมันแพง เขาขายน้ำมันได้กำไรมาก โอกาสที่เม็ดเงินจะเข้ามาลงทุนผ่านกองทุนเหล่านี้ก็มีมากด้วย ดังนั้นกระแสเงินก็ไม่จำเป็นต้องเป็นพวกหัวทองเสมอไป
ออกสั้นหรือออกยาว
เมื่อเราวิเคราะห์ข้อมูลกระแสเงินต่างชาติ ผ่านกราฟยอดการซื้อขายสะสม เราจะพบว่าเมื่อยอดการซื้่อขายสะสมเป็นลบ มีแนวโน้มลดลง มันจะเกิดพร้อมกับดัชนีตลาดหุ้นที่เป็นแนวโน้มขาลง นั้นคือปรากฏการณ์กระเงินที่ไหลออกจากตลาดหุ้น
โดยการไหลออกของกระแสเงินต่างชาติ มีสองลักษณะถือถาวร(กินระยะเวลานานมากกว่าสามเดือนกว่ากลับเข้ามา) หรือชั่่วคราว(ระยะเวลาสั้น ไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือน) โดยกรณีกระแสเงินไหลออกถาวรนั้นหมายถึงเงินนั้นอาจจะถูกโยกไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอื่นๆเช่น ตลาดทองคำ ตลาดเงิน พันธ์บัตร หรือไปยังตลาดหุ้นของประเทศที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า เป็นต้น แน่นอนว่าจะมีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยน(THB/USD) ซึ่งเราจะสามารถสังเกตเห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงของกราฟอัตราแลกเปลี่ยน
ส่วนการไหลออกของกระแสเงินต่างชาติแบบชั่วคราวนั้น มักจะไหลออกจากตลาดหุ้นแบบการทำกำไร หรือรอดูสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศ โดยเงินจะไหลออกจากตลาดหุ้นไปพักใน ตลาดตราสารทางการเงิน เช่น พันธ์บัตรระยะสั้น หุ้นกู้ เป็นต้น โดยกระแสเงินยังอยู่ในประเทศแต่เพียงไปพักที่ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า ข้อมูลตรงนี้เราเข้าไปดูได้ที่ Thai BMA (www.thaibma.or.th)
แน่นอนว่าอนาคตอาจจะมีการแปลงได้ตามสภาวะตลาดและเศรษฐกิจโลกแต่พื้นฐานและแนวคิดหลักส่วนใหญ่จะไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่ผมจะเขียนเพื่อจะให้เป็นแนวคิดในการมองปริมาณการซื้อขายต่างชาติในอีกมุมหนึ่ง เพื่อผู้อ่านนำไปศึกษาต่อและปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในการลงทุนต่อไป
ความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นไทย
ปกติถ้าเราดูยอดการซื้อขายสุทธิในแต่ละวันของต่างชาติ เราอาจจะมองไม่เห็นความสัมพันธ์โดยตรงแบบที่หลายคนพยายามเอาไปเปรียบเทียบ ว่าถ้าต่างชาติซื้อสุทธิ ตลาดหุ้นจะเขียว หรือถ้าต่างชาติขายสุทธิ ดัชนีตลาดหุ้นจะแดงติดลบ การดูยอดการซื้อขายสุทธิในแต่ละวันอาจจะทำให้เรามองไม่เห็นภาพใหญ่ ของพฤติกรรมของกระแสเงินต่างชาติ แต่ถ้าเรามองปริมาณการซื้อขายสะสม(Accumulated Foreign Flow) ในคาบเวลา เราจะพบว่ามันมีทิศทางและมีแนวโน้มที่ชัดเจน ต่างจากยอดสุทธิในแต่ละวันที่วันนี้ซื้อ พรุ่งนี้ขาย สลับกันไปมา
คงมีคำถามตามมาว่าแล้วยอดการซื้อขายครึ่งวัน ประภทครึ่งวันเช้าฝรั่งซื้อ ฝรั่งขาย มันบอกอะไรเราได้หรือไม่ สำหรับผมไม่มีประโยชน์อะไร เพราะจากประสบการณ์หลายครั้งที่ครึ่งวันเช้าต่างชาติซื้อสุทธิ แต่ตอนเย็นยอดสุทธิกับเป็นขาย หรือครึ่งวันเช้าขายสุทธิ แต่ตอนเย็นเป็นซื้อ ดังนั้นมันไม่สามารถนำมาอนุมานหรือช่วยในการตัดสินใจซื้อขายหุ้นได้เลย อีกประการที่ต้องระวังคือยอดซื้อขายครึ่งวันของต่างชาติ มักไม่เป็นทางการ บางครั้งหลายเว็บก็ให้ตัวเลขที่แตกต่างกัน บางเจ้าบอกซื้อ บางเจ้าบอกขายสุทธิ ดังนั้นจึงไม่ควรนำตัวเลขนี้มาใช้ในการตัดสินใจ
หัวดำหรือหัวทอง
ก่อนที่ผมจะศึกษาเรื่องนี้ผมมักจะได้ยินคำพูดประเภทนี้บ่อยๆว่า ไม่ต้องสนใจพวกนี้ฝรั่งหัวดำ ทั้งนั้น นัยยะคือไม่มีความสำคัญ ไม่ว่ามันจะซื้อหรือขาย เพราะเป็นคนไทย คนเอเซียซื้อกันเอง แต่ยืมแบรนด์ต่างชาติมาใช่
ถ้าลองพิจารณาดีๆจะพบ ไม่ว่าหัวดำหัวทองก็ไม่สำคัญ เพราะนัยยะไม่ได้อยู่ที่สีผม มันอยู่ที่ปริมาณเงินมากกว่า เมื่อเทียบยอดการซื้อสะสมของต่างชาติ กับสถาบัน กองทุนและรายย่อย ตัวเลขของต่างชาติก็สูงกว่าทั้งหมด
อีกประการ คำว่าต่างชาติ ไม่จำเป็นต้องเป็นฝรั่งเสมอไป ต่างชาตินั้นมีทั้งกองทุนและนักลงทุนอิสระ ที่หลายกลุ่มไม่ได้เป็นฝรั่งแต่เป็น "แขก" ใช่แล้วครับแขกจากอาหรับ ประเทศเศรษฐีน้ำมัน ประเทศเหล่านี้มีเงินมากมายและมีกองทุนเฮ็ดฟันใหญ่ในประเทศเหล่านี้ ที่นำเงินของเศรษฐีหรือผู้มีอันจะกินในประเทศกลุ่มอาหรับ มาลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดกลุ่ม TIPS ซึ่งหมายถึงบ้านเรา ยิ่งน้ำมันแพง เขาขายน้ำมันได้กำไรมาก โอกาสที่เม็ดเงินจะเข้ามาลงทุนผ่านกองทุนเหล่านี้ก็มีมากด้วย ดังนั้นกระแสเงินก็ไม่จำเป็นต้องเป็นพวกหัวทองเสมอไป
ออกสั้นหรือออกยาว
เมื่อเราวิเคราะห์ข้อมูลกระแสเงินต่างชาติ ผ่านกราฟยอดการซื้อขายสะสม เราจะพบว่าเมื่อยอดการซื้่อขายสะสมเป็นลบ มีแนวโน้มลดลง มันจะเกิดพร้อมกับดัชนีตลาดหุ้นที่เป็นแนวโน้มขาลง นั้นคือปรากฏการณ์กระเงินที่ไหลออกจากตลาดหุ้น
โดยการไหลออกของกระแสเงินต่างชาติ มีสองลักษณะถือถาวร(กินระยะเวลานานมากกว่าสามเดือนกว่ากลับเข้ามา) หรือชั่่วคราว(ระยะเวลาสั้น ไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือน) โดยกรณีกระแสเงินไหลออกถาวรนั้นหมายถึงเงินนั้นอาจจะถูกโยกไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอื่นๆเช่น ตลาดทองคำ ตลาดเงิน พันธ์บัตร หรือไปยังตลาดหุ้นของประเทศที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า เป็นต้น แน่นอนว่าจะมีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยน(THB/USD) ซึ่งเราจะสามารถสังเกตเห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงของกราฟอัตราแลกเปลี่ยน
ข้อมูลเปรียบเทียบดัชนีตลาดหุ้นและตลาดพันธ์บัตร
ปริมาณการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาล
กราฟเปรียบเทียบกระแสเงินต่างชาติ(รูปแบบการซื้อขายสะสม) ที่ไหลระหว่างตลาดหุ้นและตลาดพันธ์บัตรระยะสั้น
สรุป
ผมนำความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกระแสเงินต่างชาติหรือ FundFlow มาแนะนำทุกท่านเพื่อให้ท่านหัดสังเกตและเรียนรู้ สิ่งสำคัญคืออย่างมงายกับความเชื่อเก่าๆ แต่เราต้องหัดคิด สิ่งสำคัญไม่ยอดสุทธิแต่ละวัน เราต้องมองยอดซื้อขายสะสมต่อเนื่อง การพิจารณา Fundflow มีประโยชน์มากกับการลงทุนเก็งกำไรแบบรายรอบประเภท Trend Following โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่ม Set50 หรือ Set100 และสามารถประยุกต์ใช้กับการเทรดอนุพันธ์ได้อีกด้วย
บทความนี้ผมไม่ได้สอนการวิเคราะห์กระแสเงินต่างชาติ เพราะมันค่อนข้างจะต้องใช้ประสบการณ์และการตีความระดับหนึ่ง ไม่มีสูตรตายตัว แต่ความรู้เบื้องต้นนี้ก็พอเป็นพื้นฐาน idea ให้ท่านลองไปต่อยอดเองได้ระดับหนึ่ง เอาเป็นว่าถ้ามีโอกาสหรือมีโมเดลคณิตศาสตร์ดีๆเกี่ยวกับ Fundflow analysis ผมจะมาแนะนำอีกนะครับ