ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Fund flow#1 : ความสำคัญของกระแสเงินต่างชาติ


ทำไมต้องสนใจกระแสเงินต่างชาติ??? คำตอบคือเพราะกระแสเงินต่างจากชาติหรือ Fund Flow มีบทบาทอย่างมากต่อการเกิดแนวโน้มของราคาหุ้นขนาดใหญ่และส่งผลโดยตรงต่อแนวโน้มของดัชนี ซึ่งมีแนวความคิดที่ว่ากระแสเงินนี้สามารถชักนำการเปลี่ยนแปลงดัชนีตลาดหุ้นได้ 


ซึ่งความเป็นจริงเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติในแต่ละวันก็อาจจะน้อยกว่าเม็ดเงินของรายย่อยในประเทศรวมกันก็เป็นได้ แต่ด้วยพฤติกรรมของรายย่อยที่ส่วนมากจะเป็นรูปแบบการเก็งกำไร ซื้อขายระยะสั้นทำให้อาจจะไม่มีผลโดยตรงต่อดัชนีตลาด เฉกเช่นกับกระแสเงินจากต่างชาติ ที่มีขนาดใหญ่และมีความต่อเนื่อง สะสมในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ดังนั้นเจ้า Fund Flow เลยมีนัยยะสำคัญโดยตรงต่อทิศทางแนวโน้มของตลาดหุ้น 


การสังเกตและวิเคราะห์ Fund flow ของต่างชาติ เพื่อดูทิศทางของตลาดเป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง หนึ่งที่เทรดเดอร์สาย momentum หรือ Trend following จำเป็นจะต้องเรียนรู้ไว้ เพราะราคาหุ้นเองจะเคลื่อนที่ขึ้นหรือลงได้นั้น จำเป็นต้องมีเม็ดเงินขนาดใหญ่เข้ามาซื้อ โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 BigCap ที่เป็นที่นิยม(เพราะมีสภาพคล่องสูง+มีความมั่นคง)ในการลงทุนของต่างชาติทั้งที่เป็นกองทุนเก็งกำไรแบบ hedge fund และเป็นประเภทนักลงทุนส่วนบุคคล กระแสเงินจะมีการเคลื่อนไหว เป็นรอบตามกฏพื้นฐานโดยการเคลื่อนที่ของเงิน ที่จะไปหาตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงเมื่อเทียบกับความเสี่ยงเสมอ เมื่อจังหวะอำนวยเมื่อตลาดหุ้นไทยเป็นแหล่งให้ผลตอบแทนดี กระแสเงินจากต่างชาติที่เคยอยู่ตลาดหุ้นต่างๆ ตลาดพันธ์บัตร ตลาดเงิน หรือตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ก็จะไหลเข้ามา มีผลให้ราคาหุ้นเกิดแนวโน้มขาขึ้นและเกิดเคลื่อนไหวดัชนี SET ในขณะเดียวกันถ้าเกิดปัญหาเศรษฐกิจ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงของผลตอบแทนและความเสี่ยงในการลงทุน กระแสเงิน(Fund Flow) ก็สามารถไหลออกจากตลาดได้เช่นกัน

ดังเช่นช่วงที่ผ่านมาหลังจากเกิดวิกฤติการเงินซับไพร์มในสหรัฐตอนปี 2008 เมื่อกระแสเงินต่างชาติ Fundflow ไหลออกรุนแรง จนดัชนี SET ปรับตัวลงจุดต่ำสุด เมื่อปัญหาทุกอย่างชัดเจนมีแนวทางการแก้ปัญหา และการกระตุ้นเศรษฐกิจ Fundflow ก็ไหลกลับเข้ามายังตลาดเกิดใหม่ภูมิภาคอาเซียนในกลุ่ม TIPS ซึ่งเคยประสบปัญหาการเงินต้มยำกุ้งปี 2540 แล้วสามารถผ่านพ้นวิกฤติมาได้ ทำให้พื้นฐานของเศรษฐกิจดีฟื้นตัว ภาคธนาคารมีวินัยทางการเงิน หลายบริษัทแข็งแกร่ง ผลประกอบการดี มีกำไรสุทธิสูง และมีปันผลต่อเนื่อง Fundflow จากต่างชาติก็ไหลเข้ามาลงทุน ดันดัชนี SET จาก 400 จนทะลุ 1200 จุดในช่วงเวลา 4 ปี บวกกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ QE1 และ QE2 ที่มีการอัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ ธนาคารสหรัฐมีเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ บวกกับการอ่อนค่าของเงินดอลล่าห์ในช่วงแรก ทำให้กระแสเงินมหาศาลไหลกับเข้ามาสู่ตลาดหุ้น และนั้นเป็นโอกาส ที่นักเก็งกำไรและนักลงทุน สามารถทำกำไรจากการซื้อขายหุ้น แบบเป็นกอบเป็นกำในช่วงที่ผ่านมา 


จากภาพข้างบนเป็น แนวคิดการเคลื่อนที่ของกระแสเงิน เมื่อเทียบกับภาวะเศรษฐกิจโลก ใน state1(Recession) กรณีเศรษฐกิจโลกเกิดปัญหา เช่น วิกฤติการเงินระดับภูมิภาค กระแสเงินจะไหลเข้าสู่แหล่งที่ปลอดภัย ความเสี่ยงต่ำ เช่นตลาดพันธ์บัตรของประเทศต่างๆ เมื่อตลาดหุ้นเข้าสู่จุดต่ำสุดทรงตัวและเริ่มฟื้นตัว กระแสเงินกลับเข้าซื้อหุ้นในตลาดหุ้นต่างๆ สะสมหุ้นจนดัชนีตลาดต่างๆเริ่มฟื้นตัว รวมถึงมีการเข้าลงทุนเก็งกำไรในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ตลาดโภคภัณฑ์เริ่มการฟื้นตัวมีการสั่งสินค้า เพื่อการผลิตและการบริโภคสูงขึ้น 

เมื่อถึง state2(Recovery) การฟื้นตัวของวิกฤติเริ่มชัดเจน เมื่อทุกอย่างดูดีมีความแน่นอน เศรษฐกิจเริ่มฟื้น ดัชนีผู้บริโภคเริ่มสูง มีแรงซื้อกลับมามาก เงินจากตลาดพันธ์บัตรไหลออกโยกเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมีการซื้อสะสมมากเรื่อยๆ ดัชนีหุ้นทุกตลาดฟื้นตัวกลับมาสู่ภาวะปกติก่อนหน้า รวมถึงการขึ้นไปยังจุดสูงสุด เมื่อเกิดภาวะอิ่มตัว เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจหรือเกิดปัญหาวิกฤติทางการเงินอีก กระแสเงินก็จะไหลออก ตามวัฏจักรของมัน

จากภาพนี้กระแสเงินไม่จำเป็นต้องเป็นเงินก้อนเดียวกันทั้งหมด หรือมีความสัมพันธ์เชิงเส้นตรงกันในทุกตลาด การเทรดตามแนวโน้ม(Trend Following) จึงเป็นโอกาสที่เราสามารถทำกำไรตามแนวโน้มตลาดได้จากการสังเกตการเคลื่อนตัวของกระแสเงิน Fundflow เหล่านี้ ที่สำคัญถ้าเราสามารถเข้าใจทิศทางการไหวของตลาด ลดความเสี่ยงเนื่องจากการลงทุนสวนแนวโน้มของตลาดหุ้นได้อีกด้วย