ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เมื่อเทคนิคคอลไม่ง่ายอย่างที่คุณคิด!!!!

ช่วงนี้สินธรกลับมาคึกคักกันอีกรอบ จากการเปิดประเด็นถกเถียงทางวิชาการ เกี่ยวกับ การวิเคราะห์ราคาหุ้นทางเทคนิค(TA) ทำเอากระทบกระเทือนหลายคนที่ใช้กราฟราคาและการวิเคราะห์ทางเทคนิคในการลงทุน ต้องร้อนๆหนาวๆ เพราะเซียนระดับอาจารย์หลายคน ออกมาตั้งประเด็นถกกันอย่างสนุก (แต่หลังๆเริ่มออกแนวใช้อารมณ์แล้ว)

กลุ่มฝ่ายที่สนับสนุน แนวคิดการหาสัญญาณซื้อขายจากดัชนีแบบที่ คุณหมอทั้งสอง(ขออนุญาติไม่เอ่ยนาม) ต่างยกเหตุผลสนับสนุนของการตัดสินใจซื้อขายตามสัญญาณจากเครื่องมือเช่น Stochastic,EMA,RSI MACD ส่วนอีกกลุ่มฝ่ายค้านนำทีมโดยอาจารย์ ป. ที่ยกเหตุผลที่น่าสนใจมาถกเรื่องของกราฟ เป็นเพียงการนำข้อมูลในอดีตมาคำนวณมันไม่สามารถใช้นำทางในอนาคตได้ และมีอีกหลายท่านที่หาตัวอย่างมาอภิปรายได้อย่าน่าสนใจ พร้อมอธิบายเหตุผลที่ว่า กราฟของคุณหมอที่สามารถบอกได้ว่า หุ้นจะขึ้นหรือลงนั้นเพราะ ตัดเอามาเฉพาะ case ที่ชัดเจน บางกรณีเป็นตัวอย่าง ซึ่งบางกรณีก็จะไม่เป็นจริง


ลองไล่เรียงไปอ่านได้จากกระทู้ต่างๆดังนี้
1. เริ่มต้นการอภิปราย
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I10144400/I10144400.html
2. แตกประเด็น
-http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I10154348/I10154348.html
-http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I10158031/I10158031.html
-http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I10166486/I10166486.html

เมื่อมันไม่ง่ายอย่างที่คิด
เนื่องจากผมเองก็เป็นอีกคนที่ใช้ Technical analysis เป็นส่วนหนึ่งในการลงทุน จึงคิดว่า ประเด็นที่ยกมาถกนี้น่าสนใจและเป็นประโยชน์มากสำหรับนักลงทุน หลายคนยังเข้าใจผิดคิดว่าการรู้ว่ากราฟเทคนิคใช้ยังไง แล้วจะรวยกลายเป็นผู้หยั่งรู้อนาคต รู้ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง หลายคนพยายามไปท่องจำว่าเส้นนี้ตัดขึ้นซื้อ ตัดลงขาย(ง่ายมาก ไม่ต้องดูอะไรมาก โปรแกรมหาราคา ซื้อ ขายให้เลย) เล่นไปตามกราฟตามสัญญาณ ทั้งทีหลายครั้งก็ไม่ถูกต้อง ตามนั้นแต่เราเลือกที่จะลืมมันหรือหาเหตุผลมาแก้ต่าง


บ่อยครั้งที่เห็นกลายเป็นว่านักเทคนิคพยายามออกมาโชว์การทำนายว่าหุ้นจะขึ้นไปเท่านั้นเท่านี้ หรือบอกได้เลยว่าซื้อตัวนี้เก็บไว้ อนาคตขึ้นแน่ๆไม่ผิดหวังเพราะแนวโน้มมันมาแล้ว คำถามคือเราจะแน่ใจได้ยังไง รู้ได้ยังไง?? ในเมื่ออนาคตมันยังไม่เกิดขึ้น


เราลืมอะไรไปไหม
ที่ผมเขียนแบบนี้ไม่ได้หมายความว่า เครื่องมือ indicator ต่างๆไม่ดี เพราะเครื่องมือเหล่านี้พัฒนามาจากสมการคณิตศาสตร์ ที่มีการทดลองอย่างเป็นระบบ โดยนำข้อมูลในอดีตมาทำนายอนาคต แต่สิ่งที่เรานำมาใช้แบบมาม่า แกะซองชงกินมันไม่ถูกเพราะเราละเลยความจริงที่มาพร้อม สมการคณิตศาสตร์เหล่านั้น....


1. ค่าความถูกต้อง(accuracy) เราไม่ได้ทดสอบว่า indicator ตัวนั้นมีความถูกต้องกี่ % ทั้งในรูปแบบ Back test และ Forward Test กับข้อมูลราคาหุ้นที่เราสนใจลงทุน ซึ่งย่อมแตกต่างกันไปตามพฤติกรรมของข้อมูลราคา


สมมติว่าถ้า indicator นั้นมีความถูกต้อง 60% ดังนั้น 40% คือการสังเกต(ดูมันทำ)การเคลื่อนไหวราคาปัจจุบัน แล้วแก้ไข กลยุทธการเทรดเฉพาะหน้า (กังวลอะไรถ้าขายหุ้นตามกราฟแล้ว ราคาพุ่งขึ้น ถ้าผ่านแนวต้านก็ซื้อตามใหม่สิครับ ยากอะไร)


2. การปรับตั้ง(configure) และวัดสอบ(Calibrate) เครื่องมือดัชนีเหล่านั้น กับข้อมูลราคาหุ้น(Observation Data) ตัวที่เราสนใจลงทุน เพราะเครื่องมือเหล่านี้คิดโดยฝรั่ง(ไม่ใช่ว่า RSI 14 จะดีเสมอไป) การวัดสอบหาพารามิเตอร์ที่เหมาะสมสำหรับหุ้นแต่ละตัวแต่ละกลุ่ม การคำนวณ Time Frame ที่เหมาะสมสำหรับหุ้น ในแต่ละ indicator เป็นสิ่งที่จำเป็น


3.การ Re Sampling การสุ่มเลือกข้อมูลมาคำนวณ หรือพูดภาษาชาวบ้านง่ายคือการ ใช้ Time Frame ต่างๆนั้นเอง ในแต่ละ Time Frame ที่เรานำข้อมูลมาคำนวณ ระดับความเชื่อมั่นของ indicator ใน Time Frame ต่างๆย่อมไม่เท่ากัน ไม่แปลว่าใช้ข้อมูลที่ละเอียดระดับนาที จะดีกว่าข้อมูลหยาบระดับวัน เสมอไปสิ่งเหล่านี้ต้องผ่านการทดสอบกับกลุ่มข้อมูล (Data Set) ถึงจะสามารถระบุค่าความเชื่อมั่นได้

ทั้งสองสิ่งเป็นขั้นตอนที่จำเป็นของการนำ indicator มาใช้งาน แต่คนส่วนมากไม่นิยมทำ เพราะการทำ Back test และ Forward Test กับ ระบบเทรด หรือ indicator เฉพาะที่เราปรับแต่งขึ้น มันใช้เวลาและต้องใช้จำนวนข้อมูลที่มากพอสมควรถึงจะยอมรับได้ทางสถิติ ที่สำคัญเรื่องเหล่านี้ต้องอาศัยทักษะในการทำวิจัย ซึ่งคนที่ไม่ได้เรียนมาอาจจะไม่นิยม


โอ๊ยยุ่งยากจัง
ยุ่งยากจัง แบบนี้จะทำได้ยังไงหุ้นมีตั้ง 500 ตัว มีข่าวให้เล่นทุกวัน จะทำยังไงไหว?? เป็นคำถามที่หลายคนคิด และเป็นคำถามที่ดี ที่แสดงอะไรบางอย่างในตัวเอง มันบอกเราว่า เงินไม่ได้หามาง่ายๆแบบที่เค้าว่ากัน มันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆครับ ตลาดหุ้นไม่ใช่ตู้ ATM ที่ท่านจะเข้ามาอบรมครอส สองครอสแล้วเชื่อว่าจะทำกำไรได้เลย มันไม่ง่ายขนาดนั้น !!! แรกๆผมก็เชื่อแบบนั้น แต่เวลาได้พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง 


เราต้องเรียนรู้และพัฒนาตนเอง เล่นหุ้นแค่ 3-5 ตัวที่เราถนัด ติดตามสังเกตและศึกษาพฤติกรรมของหุ้นอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็นำเอา indicator หรือเทคนิคที่เหมาะสมไปใช้ในการกำหนดจังหวะซื้อ ขาย


กราฟเทคนิคดาบสองคม
ต้องไม่ลืมเสมอว่าการที่เราใช้ indicator เป็นคนอีก 100 1000 คนก็ใช้เป็น รายย่อยใช้เป็น รายใหญ่ก็ใช้เป็น เมื่อนั้น indicator สำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิคก็จะกลายเป็นดาบสองคมที่กลับมาทำร้ายเรา เพราะรายใหญ่ที่มีอำนาจเงิน ก็ย่อมสามารถคุมเกมส์สร้างรูปแบบ ราคา กำหนดสัญญาณซื้อขายจาก indicator ต่างๆเช่น EMA ,MACD ,STO ได้ โดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็กที่มีคนดูแลสภาพคล่อง และทิศทางของราคา  


ดังนั้นถ้าเราใช้แค่ indicator พื้นฐานและไม่เข้าใจพฤติกรรมของหุ้น เราเองก็จะตกเป็นฝ่ายโดนหลอกได้เสมอ


ดูราคาแต่อย่าลืมดูปริมาณ
ปกติเรามักจะเน้นที่การดูแนวโน้ม การเคลื่อนตัวของราคาหุ้น ดูสัญญาณ ซื้อ ขายจาก indicator ต่างๆซื้อล้วนนำเอาข้อมูลราคาในอดีตมาคิดทั้งนั้น เมื่อราคา สามารถสร้างกันได้ แต่สิ่งหนึ่งที่หลอกกันได้ยากคือ volume หรือปริมาณการซื้อขาย 
การที่แนวโน้มราคาจะชัดเจน แข็งแรงและเป็นจริง ย่อมต้องมี Volume สนับสนุนด้วยเสมอ แต่เทคนิค Volume Analysis ยังไม่มีการสอนหรือการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง แน่นอนว่าส่วนหนึ่งย่อมต้องใช้ประสบการณ์การวิเคราะห์ เป็นหลักและที่สำคัญบางครั้งอาจจะต้องละเอียดถึงการนับ Volume โดยดูจาก Bid offer แต่ละช่อง 
สิ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำคือ การดูสัญญาณซื้อขาย จาก indicator หรือการอ่านเทรนด์อย่างเดียวอาจจะไม่พอ ย่อมจำเป็นต้องดูปริมาณการซื้อขายใน time frame นั้นประกอบด้วย ก่อนจะเชื่อมั่นในสัญญาณที่เราเห็น


รู้จริงป๊ะ
สิ่งหนึ่งที่แยกนักลงทุนแนว TA ตัวจริงออกจากมือสมัครเล่นได้คือ ตัวจริงนั้นจะพูดแค่แนวโน้ม แนวรับ แนวต้าน และโอกาสความน่าจะเป็น(ซึ่งเท่าที่ผมดู%ความน่าจะเป็น เขาจะพูดในใจ) ส่วนมือสมัครเล่นหรือตัวปลอมจะพูดแนวมั่นใจฟันธง อ้าง indicator ตัวนั้นตัดตัวนี้ตัด ขึ้น 


สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า indicator นั้นไม่ได้พยากรณ์อนาคตได้แบบหมอดูเทวดา ก็คือ เมื่อต้นสัปดาห์นี้(16-01-2011) มีหลายเซียนตามเว็บมาฝันธงถึงหุ้นหลายตัวว่าจะขึ้น ทั้ง TMB TTA KTB PTL CPF แต่พอวันพุธยาวจนมาถึงวันศุกร์ เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ฝรั่งขนเงินออกจากตลาดหุ้นไทย ทำเอาดัชนีล่วงกราวรูด หุ้นที่ทำนายทายทัก หุ้นที่มีสัญญาณซื้อ ก็หักลงดิ่งตามตลาด บางตัวหนักหน่อยก็แสดงสัญญาณขายทันที หุ้นมีสัญญาณก็กลายเป็นหุ้นเน่าคามือใครหลายคน 





สรุป
ผมมองว่า ทั้งสองฝ่ายมีเหตุผลที่น่่ารับฟัง การใช้กราฟราคา ใช้ indicator ต่างๆไม่ใช้เรื่องผิด หรือไม่ดี แต่การใช้ควรลึกซึ้งถึง สมการที่มา คุณลักษณะของข้อมูล (เช่นไปใช้ RSI ในกราฟ TF 5 นาที มี null Data เพียบ ผลที่ได้ก็ย่อมไม่แน่นอน) ที่สำคัญผู้ใช้ต้องประเมินความถูกต้องของเครื่องมือ indicator ที่ใช้ให้ได้ และเตรียมแผนกลยุทธการแก้ปัญหาที่ผิดพลาดเฉพาะหน้า ณ ขณะเวลาปัจจุบัน ไว้เสมอ ควรพัฒนาระบบเทรดเฉพาะตัว มีการนำจุดเด่นของ indicator และเทคนิคต่างๆมาใช้ในการลงทุน ให้เหมาะสมกับจริตของตัวเอง


กราฟเทคนิค หรือ indicator ประเภท trend มักทำงานได้ดีในช่วยเทรนด์ขาขึ้น/ขาลง ที่ชัดเจน(ซึ่งแน่นอนว่าขาขึ้น ไม่ใช้ indicator คุณก็ชนะได้) เพราะบอกจุดซื้อได้แม่นยำ และให้จุดขายที่สูงกว่าจุดซื้อเสมอ แต่ถ้าเรานำ indicator ไปใช้ในช่วง Sideway แล้วโอกาสที่จะเกิดสัญญาณซื้อ ขายเกินจริงมีสูง เพราะอะไรหรือครับ เพราะเมื่อ Sideway ข้อมูลราคาจะแกว่งตัวในกรอบแคบแบบไร้ทิศทาง วันหนึ่งขึ้น วันหนึ่งลง เมื่อมันกระเจิง การใช้สมการเชิงเลขธรรมดาไปโมเดล จึงไม่ได้ผลที่ดี เพราะทิศทางของข้อมูลไม่แน่นอน ดังนั้นเมื่อ Sidewayตัว indicator จะมีสัญญาณลวงมาก ซื้อ ขายบ่อย โอกาสขาดทุนก็จะสูง 


จากประสบการณ์ผมพบว่าที่สำคัญการทำกำไรที่ดี คือการทำกำไรแบบพอเพียง หลายคนไปผิดพลาดเพราะการไปหาจุดทำกำไรที่ดีที่สุด สูงที่สุด ซึ่งยิ่งพยายามเข้าหามันเท่าไหร่ โอกาสที่จะพลาดก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นนักลงทุนสายเทคนิคอล ควรลดละอัตตา เข้าใจและยอมรับความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นจากการเทรดให้ได้ สนุกไปกับเกมส์ พยายามแก้ไขและก้าวเดินต่อไป
ปิดท้ายด้วย Clip Vdo ดีๆเกี่ยวกับ TA จากแมงเม่าคลับครับ